เนสท์เล่ครบรอบ 130 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา สู่เป้าหมาย Net Zero

เนสท์เล่ ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและสร้างคุณค่าให้กับสังคมไทยมากว่า 130 ปี ในฐานะบริษัทที่มีปรัชญาการทำงาน Good food, Good life หรืออาหารที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี เนสท์เล่จึงยึดมั่นต่อเจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหาร เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในวันนี้ และในอนาคต โดยได้สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคมไทยตามหลักการ ESG ทุกมิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยมุ่งเน้นการปกป้อง และฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้แผนงานด้านความยั่งยืน Net Zero 2050

นอกจากนี้ เนสท์เล่ได้สร้างคุณค่าให้กับสังคมไทย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและมีรสชาติที่อร่อย รวมทั้งดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มีบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจไทยผ่านการสร้างงาน  และมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องมากกว่า 13,600 ล้านบาทในการเปิดโรงงานใหม่ 2 แห่งในไทยในช่วงปี 2018-2022  พร้อมกับการยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจมากว่า 130 ปีในประเทศไทย โดยมีแนวทางในการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานสูงสุดตลอดห่วงโซ่คุณค่า

ในโอกาสครบรอบ 130 ปี เนสท์เล่ได้เปิดตัวแคมเปญการสื่อสารสุดพิเศษ (ชมวิดีโอแคมเปญ https://bit.ly/3ZBRRnD) สะท้อนบทบาทของเนสท์เล่ในการ “ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้ไม่เคยเปลี่ยน” จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าความต้องการของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลามากแค่ไหนก็ตาม เพื่อตอกย้ำการเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มอันดับหนึ่งที่คนไทยเชื่อมั่นและไว้วางใจตลอดมา พร้อมเผยทิศทางการดําเนินธุรกิจของในประเทศไทย ที่เน้นกลยุทธ์ 2 ด้านหลัก

นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคชาวไทย เราจะดำเนินธุรกิจโดยเน้นกลยุทธ์ 2 ด้านหลักคือ “ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค” สานต่อความมุ่งมั่นในเรื่องโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีพร้อมรสชาติที่อร่อย และ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา” เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์และการดําเนินงานของเนสท์เล่มีความยั่งยืน ซึ่งสองกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้เนสท์เล่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นและโลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น”


“ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค”
กลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทย
เนสท์เล่มุ่งสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีรสชาติที่อร่อยและมีโภชนาการสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ผ่านเกณฑ์โภชนาการของบริษัทที่เข้มงวด พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยการลดน้ำตาล ลดโซเดียม เสริมวิตามินและแร่ธาตุ และผลิตภัณฑ์จากพืชให้เป็นตัวเลือกสําหรับผู้บริโภค

พร้อมดำเนินกิจกรรมการให้ความรู้ในปี 2023 อย่างต่อเนื่อง เช่น เนสท์เล่คาราวานครอบครัวแข็งแรง และ โครงการสาสุขอุ่นใจ โดยการให้ความรู้แก่ชาวไทย 300,000 คนทั่วประเทศ ด้านการรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม เสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและมีความสุข

สู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยการ “ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา”
“ภายใต้กลยุทธ์การขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเราในปีนี้ เนสท์เล่จะมุ่งมั่นในการทำให้ผลิตภัณฑ์และการดําเนินงานของเรามีความยั่งยืน เพื่อไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และช่วยให้โลกเราน่าอยู่มากขึ้น ช่วงปีที่ผ่านมาเนสท์เล่ประเทศไทย ได้ปฏิบัติการตามแผนงานเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ปี 2050 ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก การดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” นายวิคเตอร์กล่าวเสริม  

ตัวอย่างความสำเร็จ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์เนสท์เล่ประเทศไทย 95% ได้รับการออกแบบให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โรงงานน้ำดื่มในจังหวัดอยุธยาสามารถทดแทนน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชนได้เท่ากับที่ใช้ไปในโรงงานน้ำดื่มของบริษัท 100% มีการใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน 100% และกลุ่มธุรกิจไอศกรีมของเนสท์เล่ เป็นธุรกิจแรกในกลุ่ม FMCG ของไทยที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน 100% ในกระบวนการผลิต ผ่านการร่วมมือกับ กฟผ.ในรูปแบบการซื้อขายพลังงานทดแทนแบบเจาะจงแหล่งที่มา

ริเริ่ม 2 โครงการใหม่ด้านความยั่งยืน เพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero
“โครงการแรกเป็นโครงการเกี่ยวกับการดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อชดเชยน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชน เนสท์เล่ได้ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสู่พื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งอีกแห่งของโรงงานผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่  และอีกหนึ่งโครงการคือ การปลูกป่าในไร่กาแฟ โดยการจับมือกับ PUR Projet เพื่อปลูกและดูแลต้นไม้ในพื้นที่ไร่กาแฟในจังหวัดระยองและชุมพร” นางสาวเจนิกา คอนเด ครูซ ผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรและความยั่งยืน กล่าว

โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะเป็นการให้ความรู้ รวมทั้งร่วมมือกับชุมชนและโรงเรียนในการหาแนวทางแก้ไขให้เหมาะกับความต้องการและปัญหาของแต่ละชุมชนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งทอง นอกจากนั้น เนสท์เล่มุ่งมั่นที่จะทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำหนองทุ่งทองเป็นแรมซาร์ไซต์ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญและได้รับการยอมรับในระดับสากลภายใน 5 ปี ผ่านการแต่งตั้งตามอนุสัญญาแรมซาร์

เนสท์เล่ระดับโลกมีเป้าหมายในการปลูกต้นไม้ให้ได้ 200 ล้านต้นภายในปี 2030 ในประเทศไทยได้ร่วมมือกับ PUR Projet เพื่อปลูกต้นไม้ 800,000 ต้น ในไร่กาแฟที่จังหวัดระนองและชุมพร ในปีที่ผ่านมา ได้เริ่มปลูกต้นไม้ไปแล้ว 50,000 ต้น และจะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2026 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ประมาณ 200,000 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สร้างความยั่งยืนในการจัดการฟาร์มโคนมด้วยทฤษฎีเกษตรฟื้นฟู
ในฐานะที่เนสท์เล่เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ จึงให้ความสำคัญกับการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ความเชี่ยวชาญ สร้างผลผลิตอย่างมั่นคงควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม นายทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการด้านความยั่งยืนกับเกษตรกรฟาร์มโคนมว่า “เนสท์เล่เข้าไปส่งเสริมและให้ความรู้กับเกษตรกรเกี่ยวกับการจัดการฟาร์มโคนมตามทฤษฎีเกษตรฟื้นฟูใน 3 ด้านหลักคือ ระบบโภชนะวัว การจัดการของเสีย และให้การสนับสนุนด้านการเงินเพื่อใช้พลังงานทดแทนในฟาร์ม นอกจากนั้น เรายังได้เข้าไปแนะนำ ส่งเสริมวิธีการทำปศุสัตว์ที่เหมาะสมให้กับเกษตรกร และผลักดันให้เกษตรกรโคนมทุกรายที่ส่งน้ำนมดิบให้เนสท์เล่ผ่านมาตรฐาน GAP หรือมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีจากกรมปศุสัตว์ แล้วทั้งหมด 100%”

การจัดการฟาร์มโคนมตามทฤษฎีเกษตรฟื้นฟูในด้านระบบโภชนะวัว หรือเรื่องอาหารที่ใช้เลี้ยงวัว คือการสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อโภชนาการที่สูงกว่าการกินฟางแห้ง ๆ เพื่อให้ได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกรด้วย ถัดมา คือการจัดการของเสีย มูลวัวที่เกิดขึ้นถือเป็นการปล่อยก๊าซมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศ เนสท์เล่จึงส่งเสริมการจัดการมูลวัวอย่างเป็นระบบด้วยการติดตั้งเครื่องแยกกากจากมูลวัว และเครื่องไบโอแก๊ส เพื่อนำของเสียเหล่านี้ไปใช้เป็นพลังงาน และด้านสุดท้าย การสนับสนุนด้านการเงินเพื่อใช้พลังงานทดแทนในฟาร์ม โดยเนสท์เล่ได้ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับเกษตรกรเพื่อใช้ในฟาร์ม

ด้านเกษตรกรฟาร์มโคนม นางสาวปิยนุช ยุดกระโทก เกษตรกรฟาร์มโคนม จังหวัดนครราชสีมา ที่ร่วมงานกับเนสท์เล่ครั้งแรกในปี 2018 ในการฝึกอบรมเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือโครงการ Nestlé’s AI Training Program for Young Dairy Farmers ให้มีความรู้เกี่ยวกับวิธีต่าง ๆ ในการบริหารจัดการทำฟาร์มโคนม ได้บอกเล่าประสบการณ์ว่า “ตั้งแต่เรียนจบมาก็กลับมาช่วยแม่ทำฟาร์มโคนมที่บ้านด้วยวิธีที่แม่ทำมาโดยตลอด  แต่พอได้ความรู้และคำแนะนำจากเนสท์เล่ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง ทำให้เราได้รับความรู้มาปรับใช้ในฟาร์ม รวมทั้งทฤษฎีเกษตรฟื้นฟูที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และยังให้ผลผลิตดีขึ้นด้วย ปัจจุบันสามารถผสมพันธุ์วัวเองได้ รู้สึกภูมิใจมากที่ฟาร์มของเราได้เป็นต้นแบบให้เกษตรกรโคนมรายอื่น และอาชีพของเราสามารถสร้างรายได้ให้ตัวเองและสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับโลก”

ทั้งหมดนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ในการ “ส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้ไม่เคยเปลี่ยน” ตลอดระยะกว่า 130 ปี และยังคงเดินหน้าสร้างคุณค่าให้กับสังคมไทย ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการดูแลฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน

[Advertorial]