ทำความรู้จัก “หมอโด่ง ธนบัตร” หมอฟันหล่อละมุน เอ่ยปากติดใจงานแสดงเข้าแล้ว

ชื่นชอบงานในวงการบันเทิงเข้าแล้ว สำหรับ หมอโด่งธนบัตร เยี่ยมพนมคุณ ทันตแพทย์หนุ่มหล่อสไตล์โอปป้า ที่มีโอกาสชิมลางงานแสดงซีรีส์เรื่องแรก Restart(ed) ขอรักอีกครั้งได้ไหม? ทาง WeTV เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้เจ้าตัวถึงขั้นติดใจ เอ่ยปากหากมีโอกาสพร้อมกลับมารับงานแสดง เพื่อหวังได้พัฒนาฝีมือต่อไป

เมื่อ มีโอกาสพูดทำความรู้จัก หมอโด่ง จึงให้เจ้าตัวเล่าจุดเริ่มต้นการเป็นหมอฟัน ปลุกปั้นพัฒนาวิชาความรู้ จนเปิดคลินิกทันตกรรม Tooth and Mood สาขาแรกเป็นของตัวเองสำเร็จ ก่อนจะหันมาลองหาความท้าทายอีกด้าน กับการเป็นนักแสดงซีรีส์แบบเต็มตัวครั้งแรก

ทำความรู้จักทันตแพทย์หนุ่มหล่อ โด่ง ธนบัตร

“สวัสดีครับ ชื่อทันตแพทย์ ธนบัตร เยี่ยมพนมคุณ ชื่อเล่น โด่ง หรือว่า หมอโด่ง ปัจจุบันเป็นเจ้าของคลินิกทันตกรรม Tooth and Mood อยู่แถวย่านบางนา-แบริ่ง ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี เพราะว่าจบมานานแล้ว ตอนนั้นอยู่ ม.6 ช่วงเอ็นทรานซ์ นานมาก เพื่อนๆ ในห้องเป็นเด็กสายวิทย์กันหมด ทุกคนจะขอเข้าแพทย์ เข้าทันต และก็เข้าเภสัช หลักๆ ก็จะมีประมาณนี้ จะมีหลุดๆ บ้างไปนิเทศ หรือ สถาปัตย์ ด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็กมาก ด้วยสภาพแวดล้อมสังคมในห้องเรียน ทุกเลือกที่จะเป็นสายวิทย์สุขภาพหมดเลย ผมกเลยเลือกสอบเข้าคณะทันตแพทย์ แล้วก็มาติดที่ของ ม.รังสิต”

ทำไมเลือกเรียนคณะทันตแพทย์

“ง่ายมากเลยครับ ตอนนั้นเรายังเด็กมากเรายังแยกไม่ออกว่า แพทย์กับทันตแพทย์ ต่างกันยังไง แค่คิดว่ามันคงคล้ายๆ กัน แต่อาจจะต่างกันนิดหน่อย ตอนนั้นก็เลยคิดว่าอะไรก็ได้ แพทย์ก็ได้ ทันตแพทย์ก็ได้ แล้วดันอังเบิญได้ทันตแพทย์ก็เลยเป็นทันตแพทย์เลย ตอนเด็กมันยังหาความชอบที่ชัดเจนไม่ได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราชอบมันทำเป็นอาชีพได้ยังไง บวกกับรอบๆ ตัวที่บ้าน ปลูกฝังมา เพื่อนๆ เลือกทางนี้กันมา เราก็เลยถูกจำกัดเส้นทางแล้วไม่มีใครมาแนะนำเราว่า ความชอบด้านศิลป ความชอบด้านออกแบบมันมีอาชีพนะ โตไปมันเป็นอะไรได้บ้าง ตอนนั้นก็เลยคิดว่าเพื่อนๆ เลือกอันนี้เราก็เลือกอันนี้ตาม”

ก่อนเข้าเรียนทันตแพทย์เคยมีความฝันอยากจะทำชีพอื่นอีกมั้ย

“ทุกวันนี้เราทำงานก็มีความสุขกับงานประมาณนึง แต่พอเราลองนึกย้อนกลับไปจริงๆ ตอนเด็กเราชอบอะไร ผมสังเกตตัวเองจะชอบตัดต่อวิดีโอ ชอบวาดรูป หรือว่าชอบทำเกี่ยวอาร์ตเวิร์ก จนทุกวันนี้ที่ทำคลินิกของตัวเอง คลินิกทั้งหมดผมก็เป็นคนออกแบบเอง ตกแต่งเอง และก็ตัวงานอาร์ตเวิร์กยิงแอดโฆษณา ผมก็เป็นคนทำอาร์ตเวิร์กอะไรต่างๆ ซะส่วนใหญ่ ก็เลยคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ตอนเด็กๆ ผมจะไม่เรียนสถาปนิก ตกแต่งภายใน ไม่ก็เป็นพวกกราฟฟิกดีไซน์ หรืออะไรที่ผมก็ชอบเหมือนกันเกี่ยวกับด้านนิเทศ เพราะผมชอบตัดต่อวิดีโอ มีช่วงมีงานปีใหม่ผมก็จะเป็นคนพาเพื่อนๆ ทำการแสดง มีทำเล่นละครผมก็จะเป็นคนกำกับให้ เขียนบทให้”

ณ ตอนนั้นมีการพูดถึงความชอบของตัวเองให้คนรอบข้างฟังมั้ย

“คิดว่าไม่ได้พูดตรงๆ แต่คิดว่ามาจากแสดงออก เช่น ผมเคยไปดูบ้านกับที่บ้าน แล้วผมกลับบ้านมาผมขอแม่ซื้อกระดาษปอร์นมาใบนึงแล้วผมก็ไปซื้อไม้บรรทัดเองมาตีเส้น ผมไปเห็นผังบ้านรู้สึกอยากออกแบบบ้านเอง อยากสร้างบ้านเอง ผมก็จะเอานั่งวาด ตอนเด็กๆ มันไม่มีคอมไม่มีเน็ตไม่มีมือถือให้เราเล่น แต่แม่กไม่เข้าใจ แม่ก็คิดว่าลูกวาดรูปเล่น อีกอันนึงผมจะชอบเล่นเกมเดอะซิมที่สร้างบ้าน แล้วผมก็สร้างเล่นแบบมีความสุขมาก ตีสามตีสี่ผมก็ไม่นอน คิดว่าตอนนั้นมันคือความชอบ แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นอาชีพได้ มันคือแค่เกม”

ถ้ามีโอกาสย้อนกลับไปเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ ภาพวันนี้ของเราจะเป็นอย่างไร

“เหมือนในเฟซบุ๊กจะมีถ้าให้เลือกอาชีพโดยไม่คิดถึงผลตอบแทนเราจะเลือกอะไร คงจะเลือกโทนๆ พวกศิลปะ พวกสถาปัตย์ แต่ถ้า ณ ตอนนี้เป็นหมอฟันก็ดีเหมือนกัน พอเราอยู่กับมันมานานแล้วรู้วิธีทำงานที่มันสบาย เรารู้สึกว่าเป็นหมอฟันก็ไม่ได้เหนื่อยมากจนเกินไป”

แต่กว่าจะเรียนจบทันตแพย์มาได้ก็ยากลำบากเหมือนกัน

“ใช้เวลา 6 ปี ผ่านความเคี่ยวเข็น ถามว่าเคยแอบคิดเราน่าจะไปเรียนศิลปะที่ชอบมั้ย มีแค่แอบไปแคสซีรีส์สมัยเรียน แต่ก็แคสแล้วไม่ได้นะครับ คือรู้สึกว่ามันก็ยังตามหาตัวเองอยู่ สถาปัตย์ก็ชอบ บางทีพวกงานการแสดงก็ชอบ อยากลอง”

หมอโด่งเป็นทันตแพทย์สไตล์ไหน

“จริงๆ ทันตแพทย์ถ้าเป็นคำโดยรวม คือเป็นอาชีพที่ดูแลสุขภาพช่องปากของคนไข้ ให้คนไข้มีสุขภาพช่องปากที่ดี แต่ว่าตอนหลังๆ เทรนด์มันก็มีมาเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องของนอกจากสุขภาพช่องปากดีแล้ว ความสวยงามและรอยยิ้มก็เป็นอีกอันนึงที่กำลังมา เพราะว่าเมื่อก่อนคนก็จะรู้สึกว่า ความสวยงามจะอยู่ที่ตา จมูก คาง หรือทำปาก เป็นเรื่องของศัลยกรรม แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ตัวรอยยิ้ม ตัวฟัน ก็เป็นเรื่องของความสวยงามได้เหมือนกัน ผมก็เริ่มหันมาโฟกัสเรื่องของการออกแบบรอยยิ้มที่ให้มันสวยงามได้ หลักๆ ปัจจุบันนี้มีเรื่องของการจัดฟัน การทำวีเนียร์ การฟอกฟันขาว คิดว่าการดูแล ณ ปัจจุบันของผม นอกจากสุขภาพช่องปากดีแล้ว ถ้าช่องปากฟันสวยคนไข้ยิ้มแล้วสวยดูดีขึ้น มันก็เป็นการทำให้สุขภาพจิตหรือว่าการใช้ชีวิตของเขาดีขึ้นด้วย”

หมอไม่ได้มองแค่เรื่องการรักษาฟัน แต่มองเรื่องบุคลิกภาพในการยิ้มของคนไข้ด้วย

“มันจะคล้ายกับการออกแบบฟัน เพราะอันนี้เป็นการเรียนต่อเพิ่มเติม ผมไปหลักศูตรระยะสั้นที่ธรรมศาสตร์มา เกี่ยวกับการออกแบบรอยยิ้ม และการใช้วีเนียร์ดีไซน์ฟันให้กับคนไข้ มันก็เลยทำให้ผมคิดว่า เราไม่สามารถเป็นคนที่ออกแบบอินทีเรียอะไรได้แล้ว ณ ตอนนี้ เพราะเราอยู่กับอาชีพทำฟันนานมากๆ แล้ว เราก็ออกแบบฟันให้คนไข้สิ ออกแบบรอยยิ้มให้เขาสิ มันก็มีหลักสูตรนี้ออกมา”

ฟีดแบคจากคนไข้เป็นอย่างไรบ้าง

“รู้สึกชอบนะครับ มันคล้ายๆ แพสชั่นเลย แต่ก่อนจบมาปุ๊บผมก็ทำฟัน ขูดหินปูน อุดฟัน งานทั่วไปเราก็ทำตามสิ่งที่เราเรียนมา ผมคิดว่าพอทำถึงจุดนึงก็เกิดความหมดไฟจากงาน เราก็ได้ไปรู้จักกับรุ่นพี่ที่เขาทำงานเกี่ยวกับความสวยงามด้านทันตกรรม เห็นลักษณะการทำงานของเขา เห็นเฮ้ยมันมีแบบนี้ด้วยเหรอ แบบว่ามีการถ่ายรูปคนไข้ มีการออกแบบรอยยิ้ม วัดขนาดสัดส่วนใบหน้า วัดขนาดฟัน แล้วก็ออกแบบจากคอมพิวเตอร์ ผมก็เลยรู้สึกน่าสนใจจัง แล้วผมไปดูรูปก่อนกับหลังของคนไข้ คือคนไข้เปลี่ยนไปแบบมากๆ และดูดีขึ้น เรารู้สึกว่าฟันมันมีผลกับความสวยงามขนาดนี้เลยเหรอ มันคืออินสแตนท์บิวตี้ที่ทำแล้วเห็นผมทันที แล้วดูปลี่ยนทันที”

วางเป้าหมายในการเป็นหมอฟันไว้อย่างไรบ้าง

“ตอนนี้พอเปิดคิลินิกของตัวเองแล้ว เป้าหมายคืออยากจะพาคลินิก Tooth amd Mood ให้มันไปได้ไกล เท่าที่จะไปได้ อย่างน้อยแต่ละเดือนสามารถดูแลตัวเองได้ ถ้าว่างหรือมีโอกาสต่างๆ เข้ามาก็อยากจะให้คลินิกเป็นที่รู้จักของคนเยอะๆ ซึ่งผมว่ามันก็ยากอยู่เหมือนกัน ถ้าพูดถึงแค่พาร์ตของหมอฟัน เราทำแค่ในห้องทำฟัน ผมเลยต้องเอาตัวเองออกไปเจอคนอื่นๆ ด้วย ไปหาคอนเนคชั่น ไปหาอะไรต่างๆ นอกเหนือจากเพื่อนๆ หมอฟันด้วยกันเอง หนึ่งคือการทำให้ตัวเอง ทำให้คลินิกมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง มันก็เป็นการช่วยให้คลินิกเติบโตและไปต่อได้”

เป็นส่วนเริ่มต้นทำให้หมออยากเป็นนักแสดงเข้าสู่วงการบันเทิง

“ก็ใช่ครับ หนึ่งคือมันเป็นความฝัน สองผมคิดว่ามันอาจจะเป็นลู่ทางที่ทำให้ ถ้าวันนึงแล้วเรามีธุรกิจของตัวเองแล้วเราเป็นที่รู้จักจะมีคนมาซัพพอร์ตคลินิกของเรา เรื่องไปแคสงานแสดงผมไปแคสหลายครั้งมาก แต่ไม่เคยได้เลย จนกระทั่งมีบริษัทนึงเขาจะผลิตซีรีส์เรื่องนึงมา เขาติดต่อผมมาทางอินสตาแกรม ก็ได้มีการพูดคุยกันแล้วเขาบอกผมตรงคาแร็กเตอร์กับซีรีส์ที่เขาจะทำมากๆ เขาก็เลยเขาเชิญเราไปเพื่อที่จะเล่น โดยที่เขาเลือกเราแล้ว แต่ว่าพอไปถึงก็ไปแคสกับคนที่เขาคัดมาอีกทีนึง”

“ซีรีส์เรื่องนี้เมื่อประมาณปีที่แล้ว ในเรื่องเป็นเด็กที่อยู่ปี 1 เป็นวัยมหาลัยซึ่งมันต่างจากอายุจริงของผมมาก ผมยังสงสัยเขาอยู่เหมือนกันว่าอะไรทำให้ คือในชีวิตมันอาจจะแตกต่าง แต่มันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตจริงมากขนาดนั้น แต่ด้วยหน้าตารอยยิ้มคือเราอาจจะตรงกับคนเขียนบท เป็นซีรีส์ของ WeTV ชื่อเรื่องว่า Restart(ed) ขอรักอีกครั้งได้ไหม? เป็นเรื่องแรกในชีวิตเลยครับ”

คิดว่าอะไรทำให้ผู้จัดหรือผู้กำกับเลือกเรา

“เคยถามเขาบอกว่า ที่เขาชอบที่สุดเขาบอกชอบรอยยิ้ม ตอนเขาดูรูปในอินสตาแกรมแล้วเห็นผมยิ้ม เออ มันดูใช่ อาจจะเป็นเพราะเราเป็นหมอฟันด้วย”

พอได้ลองสัมผัสการเป็นนักแสดงแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

“มันยากนะครับ เนื่องจากเราไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวกับอะไรด้านนั้นมาก่อนเลย แต่อยู่ๆ เขาก็ให้เราไปทำ อันดับแรกต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมก่อน กับเพื่อนๆ ร่วมงาน น้องๆ ที่แสดงด้วยกัน เพราะว่าน้องๆ เด็กกันทุกคนเลย มีผมที่อายุเยอะอยู่คนเดียว แล้วมันไม่ได้ห่างกัน 1-2 ปี น้องที่ผมเล่นคู่ด้วยห่างกัน 9 ปี ทีนี้พอด้วยความ ช่วงวัยต่างกัน พอต้องมาทำงานด้วยกันมันต้องปรับตัวสูง ต้องหาเรื่องคุยที่ตรงกับเจนเดียวกัน เราเองก็ต้องทำตัวให้ดูเด็กลง แล้วก็ไม่เคยแสดงอะไรมาก่อนตอนเวิร์กช็อปเป็นอะไรที่ยากมาก”

“เพราะปกติทำงานเป็นพาร์ตของหมอ มันไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออะไรเยอะแยะ มันแค่พูดคุยกับคนไข้แล้วพูดนุ่มเบาๆ แต่พอไปเป็นนักแสดงคุณครูจะสอนให้ตะโกนออกมา สอนให้ไปนอนดิ้นกับพื้น ให้ทำท่าที่ตลกที่สุด แล้วผมคือคนที่ทำได้ไม่ตลกเลย จนครูบอกว่าให้ทำอยู่อย่างเนี้ยตอนนั้นเขาให้มายืน 5-6 คน ใครทำตลกสุดให้ลงไปนั่งกับพื้นได้ ผมตลกน้อยที่สุดเพราะผมมัวแต่คีพลุคอยู่ เรากลัวว่าคนจะมองเราแบบไหน”

“สุดท้ายผมคือคนสุดท้ายที่ต้องทำท่าตลกที่สุด เหมือนเป็นการก้าวผ่านสิ่งที่เราเป็นมาตลอด ก็เลยลงไปดิ้นกับพื้นทำท่าน่าเกลียดที่สุด จนครูกับเพื่อนยอมให้ผ่าน เลยรู้สึกว่า โอ้โห คือน้องๆ เขายังเด็กเขาก็ทำได้ แต่เราโตมากๆ แล้วมันชินกับคาแร็กเตอร์แบบนี้ เรียบร้อย ต้องพูดเพราะๆ กับคนไข้ อยู่ๆ ให้เราไปตะโกนซึ่งเราไม่ได้ทำในชีวิตจริง มันเหมือนเป็นการฝืนมากๆ แต่พอได้ทำมันเหมือนเป็นการละลายตัวเอง”

การแสดงทำเราเครียดกว่าการเป็นหมอฟันมั้ย

“เครียดกว่านะ เพราะผมคิดว่าคนอื่นๆ น้องๆ เขาอาจจะมีพื้นฐานมาบ้าง แต่ตัวผมไม่มีพื้นฐานมาก่อนเลย มีแค่ความชอบเป็นคนที่ชอบดูละครดูซีรีส์แค่เราไม่เคยทำ เราเลยรู้สึกว่าคาดหวังกับตัวเองแล้วก็ไม่อยากให้คนที่เขาเลือกเราไปเล่นรู้สึกเลือกผิด ก็เลยกดดันและพยายามมากๆ พอเขามีบทมาให้หลังจากทำงานเสร็จปกติจะว่างแล้วสบาย แต่ผมต้องเอาบทมานั่งท่องนั่งอ่าน หรือลองเล่นกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ”

ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะปลดล็อกการแสดง

“จริงๆ คุณครูบอกผมมีพัฒนาการมากเลย ตอนแรกมันเป็นเพราะผมอาย แต่พอตอนหลังๆ ผมสนิทกับน้องๆ แล้วผมรู้สึกที่นี่มันรีแลกซ์ เราไม่ต้องกังวลอะไรเราเป็นตัวของตัวเองแล้ว แค่นั่นมันเหมือนปลดล็อกเลย ประมาณ 3-4 เดือน หลังจากได้เรียนได้รู้ ผมขอแค่ว่าขอให้รู้ก่อนว่าต้องทำอะไร พอทำผมรู้แล้วผมจะทำเลยประมาณ 3 -4 เดือน พอผมไม่เครียดก็รู้แล้ว่า อ๋อ มันทำแบบนี้นะมันต้องแสดงแบบนี้นะ ผมก็สามารถเล่นได้ไม่กังวลเลยครับ”

พอได้สัมผัสอาชีพนักแสดงแล้ว ได้นำมาปรับใช้กับอาชีพหมอฟันอย่างไรบ้าง

“มันก็ยังห่างกันอยู่นะครับ เพราะหมอฟันอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมกับคนไข้ หมอ และผู้ช่วย มันเหมือนคนละโลก ผมแบบมีประตูสองบาน ถ้าเปิดประตูเข้าห้องโลกนี้ก็จะเป็นโลกนี้ไปเลย ทุกคนจะเฮฮาปาร์ตี้มาก ทุกคนจะเต็มที่ พอกลับมาโลกนี้เราก็ต้องไปงานประชุม ต้องไปฟังอาจารย์พูดวิชาการ หรือเวลาคุยกับคนไข้ก็ต้องให้ความรู้ในเชิงวิชาการ เพราะว่าเพื่อความน่าเชื่อถือ ก็ยังคงแตกต่างกันอยู่”

“แต่ว่าสิ่งที่เอามาปรับได้อาจจะเป็นเรื่องของ เวลาเราทำคลินิกหรือว่าโปรโมตคลินิก เราไม่อยากให้คลินิกดูวิชาการ หรือดูเป็นโรงพยาบาล ก็พยายามเอามาปรับในโซเชียลของตัวเองให้มันดูรีแล็กซ์ขึ้น ให้ดูเป็นทั้งหมอที่เล่นซีรีส์ด้วย จริงๆ อาจจะไม่ใช่ซีรีส์ที่เป็นกระแสมาก แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าก็มีคนที่จำเราได้ มีคนไข้ที่ตามมาทำฟันกับเรา เอาขนมมาให้ ผมรู้สึกชอบนะที่มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย ยินดีมากๆ ไม่รู้สึกขัดกับงานอะไร เขาลงโพสต์ก็เป็นการช่วยโปรโมตคลินิกเราด้วย”

วางเป้าหมายงานด้านการแสดงไว้อย่างไร

“จริงๆ หลังจากซีรีส์เรื่องแรกจบ มีติดต่อมาอีกเรื่องนึงเป็นช่วงที่ผมจะเปิดคลินิกพอดี ยังไม่สามารถทำตรงนั้นได้เต็มที่ ตอนนี้คลินิกเปิดได้ประมาณ 7-8 เดือนแล้ว มันอยู่ในช่วงดีกว่าตอนแรกมากๆ แต่ก็ยังเป็นช่วงที่ปล่อยไม่ได้ คิดว่าเดี๋ยวขอดูแลคลินิกนี้อีกสักระยะนึงก่อนให้มันรู้สึกว่ามีเวลามากขึ้น ผมอาจจะลองกลับมาดูเรื่องงานในวงการถ้ามีโอกาส ทุกวันนี้ยังไม่ทิ้งโอกาสนั้น ล่าสุดมีการพูดคุยกันอยู่ แต่ด้วยความเป็นแพลนระยะยาว อาจจะเป็นโปรเจ็กต์ปีหน้าก็เลยอาจจะขออุบไว้ก่อน ช่วงเวลานี้ก็จะได้เต็มที่ให้กับคลินิกของตัวเองด้วย”

ตอนแสดงซีรีส์เรื่องแรกแบ่งเวลาดูแลคลินิกยังไง

“ตอนเล่นเรื่องแรกยังไม่ได้สร้างคลินิกเลยมีเวลามากๆ ตอนนั้นผมเป็นคณะแพทย์ที่ทันตคลินิกคนอื่น เราจะบริหารเวลาได้ ตอนนั้นทำงานแค่ 15 วัน ใน 1 เดือน แล้วอีก 15 วัน ผมหยุดก็ไปถ่ายซีรีส์ โชคดีที่ผู้จัดเขาใจดีมากอยากให้เราเล่นมากๆ เขาเลยพยายามจัดสรรเวลาให้ตรงกับวันหยุดเราเกือบทั้งหมด โดยยึดเราเป็นลำดับความสำคัญแรก ตอนนั้นรู้สึกเกรงใจน้องๆ ทุกคนมาก แต่น้องๆ เข้าใจ”

ตอนนี้คลินิกลงตัวแล้ว ถ้ากลับไปเล่นซีรีส์เรื่องเวลาจะง่ายขึ้นมั้ย

“คิดว่าน่าจะง่ายขึ้นนะครับ เพราะหลังจากผมเปิดคลินิกตัวเอง ตอนนี้เป็นช่วงที่ผมต้องรับผิดชอบเคสเก่าๆ ที่คลินิกอื่นๆ ที่ผมเคยำอยู่ แล้วผมต้องมาทำคลินิกตัวเองด้วยคือตอนนี้ผมแทบไม่มีวันหยุดเลย ถ้าหยุดจริงๆ อาจจะแค่เดือนละ 2 วันเอง แต่พอคลินิกที่นี่เริ่มไปรอดแล้ว คลินิกอื่นๆ เริ่มเคียร์จนหมดผมก็จะเริ่มมีเวลาว่าง ยิ่งเป็นคลินิกของเราเองยิ่งจัดสรรเวลาได้ง่ายขึ้น”

ให้หมอโด่งฝากคลินิกทันตกรรม

“ฝากคลินิกทันตกรรม Tooth and Mood ด้วยนะครับ เป็นคลินิกที่เราดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่ปัญหาสุขภาพทั่วไปในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการอดฟัน ขูดหินปูน รวมถึงการรักษาโรคเฉพาะทาง เช่น การรักษรากฟัน ฟันปลอม รากเทียม นอกจากรักษาโดรคแล้วเรายังมุ่งเน้นในเรื่องของความสวยงามในทางทันตกรรม เพราะเราเชื่อว่านอกจากโรคภัยในตัวร่างกายแล้ว มันยังมีโรคในจิตใจด้วย เช่น ความมั่นใจ ความสวยงาม รอยยิ้มเป็นสิ่งที่สำคัญบนใบหน้า ถ้าสมมติคนไข้หรือใครก็ตามมีรอยยิ้มที่สวย มันจะทำให้ใบหน้าองค์รวมดูดีขึ้น พอยิ้มสวยก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เดี๋ยวเรื่องอื่นๆ ที่ดีก็จะตามมา”