
บริษัท DoorDash (NASDAQ: DASH) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันส่งอาหารจากซานฟรานซิสโก ได้ทําผลงานเกินคาดในไตรมาสที่สาม โดยแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมากของจํานวนคําสั่งซื้อ และรายได้ บริษัทให้เกียรติความสําเร็จนี้กับการขยายตัวของร้านค้าหลากหลายและ ตัวเลือกบริการที่เร็วขึ้น ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าได้ทั้งในสหรัฐอเมริกาและตลาดต่างประเทศ
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน บริษัท DoorDash ได้เห็นจํานวนคําสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 24% โดยมีจํานวนรวม 543 ล้านคําสั่งซื้อ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ทําการสํารวจโดย FactSet ที่ 521 ล้านคําสั่งซื้อ
นอกจากนี้ DoorDash ยังรายงานว่ารายได้เพิ่มขึ้น 27% โดยอยู่ที่ 2.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตามผลงานที่ดีนี้ หุ้นของ DoorDash ได้ประสบความสําเร็จด้วยการเพิ่มขึ้นมากกว่า 7.5% ในช่วงการซื้อขายหลังเลิกการซื้อขาย บริษัทอ้างถึงความสําเร็จนี้ว่าเกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผู้ใช้งานประจําเดือน โดยเฉพาะในเดือนกันยายน พร้อมด้วยความต้องการที่แข็งแกร่งจากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ความถี่ของคําสั่งซื้อยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกตเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สอง
ซีอีโอของ DoorDash คือ โทนี ซู กล่าวในการประชุมกับนักลงทุนว่า ถึงแม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีแนวโน้มระยะยาวที่จะมีความต้องการความสะดวกในการสั่งอาหารทางบริการส่งถึงมือมากขึ้น เขาเน้นว่ามนุษย์มักจะให้ความสําคัญกับความสะดวกเมื่อเกี่ยวกับกิจกรรมประจําวันเช่นการกินอาหาร ซึ่งมนุษย์จะกินอาหารเฉลี่ย 20-25 ครั้งต่อสัปดาห์ ทําให้ DoorDash เป็นทางเลือกที่สะดวกสําหรับความต้องการเหล่านี้
DoorDash ยังขยายการให้บริการไปนอกเหนือจากร้านอาหารปกติ โดยเริ่มให้บริการส่งสินค้าจากร้านสะดวกซื้อในปี 2564 และเปิดบริการส่งสินค้าจากร้านสะดวกซื้อในปี 2564 ปัจจุบันบริษัทสามารถสนับสนุนการส่งสินค้าจากร้านค้านอกร้านอาหารถึง 100,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากจากเพียง 2 ปีก่อน
ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ แต่ DoorDash ก็ยังเป็นผู้เล่นรายเล็กในอุตสาหกรรมอาหารและการค้าปลีกทั่วไป โดยเฉพาะใน 27 ตลาดต่างประเทศที่บริษัทเพิ่งเข้าสู่ตลาดไม่นาน DoorDash ได้ขยายขอบเขตการดําเนินงานระหว่างประเทศด้วยการซื้อ Wolt Enterprises ซึ่งเป็นบริษัทส่งสินค้าจากฟินแลนด์ ในปี 2564 ทําให้มีฐานลูกค้าในประเทศเยอรมนี สวีเดน และอิสราเอล ซูกล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงไตรมาสที่สามมากกว่าไตรมาสสุดท้าย เรายังมีงานมากมายที่ต้องทําเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์”
ในเรื่องนโย