เปิดใจ “อ้น ทิพานัน” รองโฆษกรัฐบาลคนใหม่ โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

วันนี้ (23 ส.ค. 2565) คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง ทิพานัน ศิริชนะ นักกฎหมาย อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตจอมทอง-ธนบุรี และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในห้วงโค้งสุดท้ายของ ครม. ก่อนที่จะหมดวาระในเดือนมีนาคม 2566 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ดังนั้น การสื่อสารของนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ

ทีมข่าว สัมภาษณ์พิเศษ “อ้น-ทิพานัน” สมาชิกใหม่ของทีมโฆษกที่เป็นเหมือนองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เธอยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย ทั้งในแง่การทำงานที่จะได้สื่อสารข้อมูลให้กับพี่น้องประชาชน เพราะตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา มีผลงานของรัฐบาลมากมาย แต่ยังไม่สามารถสื่อสารไปยังคนไทยอีกหลายกลุ่มให้เข้าใจได้ถูกต้อง เปรียบได้เหมือนน้ำแกงก็เคี่ยวจนงวดแล้ว แต่จะทำยังไงให้เสิร์ฟพี่น้องประชาชนให้สามารถเข้าใจ และก็ได้เห็นผลงานว่าวันนี้เกิดประโยชน์กับตัวพี่น้องประชาชนอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มใด สาขาอาชีพใด หรือว่าอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศไทย

เน้นสร้างความเข้าใจ ยุติการบิดเบือนข้อเท็จจริง

แม้จะมีเสียงค้านว่านายกรัฐมนตรีไม่รับฟังเสียงของประชาชน แต่เธอเห็นต่างว่านายกฯ ฟังเสียงประชาชนคนไทยเสมอ สังเกตได้จากนโยบายต่างๆ ที่ได้ออกมาแล้วก็เกิดผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนได้อย่างตรงจุดและเห็นผลจริง ทั้งการแก้ปัญหาโควิด-19 หรือความทุกข์ร้อนใดๆ ที่ท่านได้รับฟังมาจากการลงพื้นที่ หรือรับรายงานก็จะสั่งการให้แก้ไขทันที

ข้อมูลข่าวสารที่มีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม ที่เยอะมากๆ ซึ่งการสื่อสารที่รวดเร็ว ถูกต้องและเข้าใจง่ายจะช่วยได้ ซึ่งเธอเองก็ต้องทำการบ้านอย่างมากเ เพราะคำพูดหนึ่งคำอาจจะถูกบิดเบือนหรือตีความไปในแง่มุมต่างๆ ได้ง่าย ซึ่งสุดท้ายแล้ว ต้องยึดบนหลักของข้อเท็จจริงและความจริงว่า เราต้องการที่จะสื่อสารอะไร แล้วก็ผลที่เกิดกับประชาชนจริงๆ ประโยชน์ที่เขาจะได้รับมันคืออะไร

ทิพานันประเมินตัวเองว่าจุดแข็งของเธอคือความเป็นธรรมชาติ การพูดคุยแบบเป็นกันเอง จะทำให้คนฟังเปิดรับ คนพูดก็สามารถที่จะอธิบายได้ แม้ในประโยคแรกอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ฟังไปมันก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น หลายคนที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ในด้านลบก็อาจจะเป็นเพราะเขาเข้าใจผิด ถ้าเขาได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ที่ชัดเจน แล้วก็เข้าใจง่าย เขาจะได้มีข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา

เธอบอกว่าสไตล์การสื่อสารของเธออยากให้เป็นเหมือนรสต้มยำ ก็คือครบรส เพราะว่าการสื่อสารแน่นอน ไม่ใช่แค่เราสื่อสารตรงๆ หรือสื่อสารข้อมูลวิชาการ ผู้รับสารเขาอยากรับสารในรูปแบบไหน เพราะแต่ละกลุ่มก็มีแนวทางที่จะรับข้อมูลที่แตกต่างกัน ก็พยายามที่จะปรับให้ย่อยง่ายสำหรับทุกคนและเข้าใจง่าย

ไม่กลัวทัวร์ลง หน้าที่โฆษกไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องฟัง

เมื่อถามว่ากลัวทัวร์ลงไหม? ทิพานันตอบว่าคงไม่ได้กลัวทัวร์ลงเพราะว่าการแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนทุกคน ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ มีเหตุผล แล้วก็แสดงทัศนคติหรือแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน อันนี้เราสามารถนำมาใช้และมาปรับพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ พร้อมทั้งกล่าวติดตลกว่าตัวเองไม่ได้เป็นสายล่อฟ้า แต่เป็นสายสื่อสารแบบ 5G ที่สื่อสารไปทุกๆ หย่อมหญ้าของประเทศไทย สื่อสารข้อมูลที่รวดเร็ว แล้วก็ตรงตามความต้องการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนจริงๆ

แต่ถ้าหากมีแอนตี้แฟนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องรับฟังเขา ถ้าเขาต้องการพูด ต้องการอธิบาย เราก็ต้องรับฟัง การสื่อสารมีหน้าที่ทั้งสื่อสารออกไป และรับฟังเข้ามา มันถึงจะเกิดความเข้าใจระหว่างสองฝ่าย บางครั้งเขาอยากที่จะมีคนรับฟัง ก็ยินดีที่จะเป็นผู้ฟัง เพราะในการเอาชนะใจหรือสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะบุกไปฟาดฟันเขา ไม่มีใครอยากฟังในรูปแบบของการบังคับขู่เข็ญให้ฟัง เราก็ต้องตีโจทย์ของผู้รับสารให้ถูกว่าเขาต้องการแบบไหน มันก็มีหลายรูปแบบ หรือถ้าในจังหวะที่เราต้องสู้ หรือจังหวะที่เราต้องสื่อสารแบบตรงจุด ก็ไม่มีความเกรงใจกัน ก็ต้องขอพูดความจริง

เมื่อถามว่าเธอกลัวตกงานไหมกับการเข้ามาทำงานในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ทิพานัน กล่าวว่า ไม่กลัวตกงาน เพราะว่าทำงานทุกวัน เรามีภาระหน้าที่ในอีกบทบาทหนึ่งที่ต้องลงพื้นที่เข้าไปพบปะพี่น้องประชาชน หรือแม้แต่วันนี้ที่เราอยู่ในภาระหน้าที่นี้ เราก็ไม่ลืมพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เราดูแลคือเขตพื้นที่จอมทอง ธนบุรี ก็ยังไปมาหาสู่แล้วก็ดูแลกันเสมอ สุดท้ายนี้เธอกล่าวว่าการทำงานตอนนี้ไม่มองว่าเป็นโค้งสุดท้าย เพราะทุกวันคือวันแรกที่ต้องทำให้ดีที่สุด

“ในช่วงของการทำงาน ตอนนี้หลายๆ คนบอกเป็นช่วงโค้งสุดท้าย แต่สำหรับในมุมมองอ้นนะ ไม่มีคำว่าโค้งสุดท้ายหรอก ทุกวันคือวันทำงาน ทุกวันคือวันแรกของเรา เพราะฉะนั้น วันนี้เราทำให้เต็มที่ อยู่กับปัจจุบันที่เราจะต้องทำให้ดีที่สุด ไม่มีคำว่าโค้งสุดท้าย ไม่มีคำว่าทำแล้วมีวันหมดเวลา” ทิพานัน กล่าว