“เจมี่ บูเฮอร์” เล่าสาเหตุทิ้งวงการบันเทิง แฉยับ! ถูกผู้มีอิทธิพลใส่ร้าย

หายหน้าจากวงการบันเทิงไปนานมาก สำหรับอดีตนักแสดงสาวชื่อดัง เจมี่ บูเฮอร์ ซึ่งฝากผลงานละครชิ้นล่าสุดไว้เมื่อปี 2560 ก่อนปัจจุบันจะผันตัวเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ คอยตอบคำถามให้คำแนะนำกับสาวๆ ที่เข้ามาปรึกษาปัญหาชีวิต

ล่าสุดในติ๊กต็อกส่วนตัวของ เจมี่ ใช้ชื่อว่า @userjayboo เจ้าตัวได้โพสต์คลิปตอบคำถามของแฟนๆ ที่ถามเข้ามาว่า “ทำไมถึงเลิกเล่นละคร” งานนี้อดีตนักแสดงสาวจึงขอร่ายยาวถึงเหตุผลทั้งหมดแบบจัดเต็ม โดยเผยว่า “คลิปนี้เจมี่จะมาบอกนะคะ เพราะอะไรทำไมเจมี่ถึงไม่เล่นละครอีกแล้วนะคะ ก็คือว่ามันเกิดเหตุการณ์ที่ใหญ่หลวงเกิดขึ้นสำหรับเจมี่นะคะ อาจะที่จะไม่ได้ออกหน้าสื่ออะไรแบบนี้นะคะ”

“แต่นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ก็คือเจมี่ไปร่วมงานกับบริษัทนึง เขาก็สนับสนุนเราเพื่อประโยชน์ของงานเขา ถูกต้องมั้ยคะ มันก็ดูเป็นการสมประโยชน์เนอะ เจมี่ก็ทำงานให้กับเขาอย่างเต็มที่ใช่มั้ยคะ ซึ่งมันก็ใช้สปิริตเยอะมากสำหรับงานศิลปะนะคะ”

“มันก็มีช่วงนึงคนเราทำงานร่วมกันในวงการก็ไม่มีใครทำงานร่วมกับใครได้ตลอดเวลาหรอกนะคะ พอเจมี่เปลี่ยนไปร่วมงานกับที่อื่น ผู้หญิงคนนี้นะคะ เจมี่ถ่ายละครอยู่ที่สุขุมวิทมีช่างแต่งงานอยู่อีกห้องนึง แล้วผู้หญิงคนนี้เขาก็มากับผัวเขา สามีผู้ยิ่งใหญ่ ไปนั่งคุยกับผู้จัดละครใส่ร้ายเจมี่ดิสเครดิตทำให้ผู้จัดคนนี้เขาเกลียดเจมี่ เพราะเขารู้สึกว่าแบรนด์ดิ้งความเป็น เจมี่ บูเฮอร์ ชื่อนี้มันเป็นสิทธิของเขา เขาเป็นคนสร้างเข้าใจปะ”

“แต่เจมี่ไปร่วมงานกับเขาเนี่ยนะคะ ตอนที่เจมี่มีชื่อเสียงแล้ว เขาถึงเอาเจมี่ไปร่วมงานแล้วก็สนับสนุนซึ่งเป็นเรื่องปกติ บริษัทอื่นก็สนับสนุนเจมีแบบนี้ แต่เขาถือวิสาสะยึดเอาคำว่า เจมี่ บูเฮอร์ เอาไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ถ้าเจมี่ไม่ได้ทำงานให้กับเขาก็ไม่มีสิทธิที่จะไปทำงานกับคนอื่น ด้วยแอตติจูดแบบนี้มันเป็นแอตติจูดที่อันธพาลมาก แล้วก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้คนแบบนี้หรอกนะคะ อย่าเรียกว่าคนเลย มันเป็นอสูรกาย เจมี่ก็ห่าง เจมี่ไม่อยากยุ่ง เพราะคนแบบนี้เขามาล่วงละเมิดเรา พอเจมี่ยิ่งหนีเขาเขาก็ยิ่งทำร้ายเจมี่ เพื่อจะหวังให้เจมี่ซมซานไปทำงานกับใครไม่ได้เลย ต้องกลับไปหาเขา”

“ด้วยเหตุการณ์มีอยู่วันนึงเป็นงานเลี้ยงของช่อง เจมี่ก็ไปสวัสดีๆ เขาก็นั่งอยู่ในโต๊ะนั่นแหละ ในโต๊ะก็จะมีผู้บริหารช่อง ผู้จัดใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ เจมี่ด้วยมารยาทก็เข้าไปสวัสดี หลังจากที่เจมี่เดินคล้อยหลังกลับมา เขาพูดในโต๊ะว่า เจมี่ขายบริการ เขาเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือมาก เขาพูดว่าเจมี่ทำงานไซด์ไลน์ขายบริการนะคะ  เอาความน่าเชื่อถือของเขาเพื่อมาใส่ร้ายเจมี่แบบนี้เลย เชื่อเขาสิเขาไปเช็คมาแล้ว เจมี่ทำงานแบบนี้จริงๆ เจมี่อะขายบริการ เจมี่ส่งเด็กส่งผู้หญิงไปขายบริการที่ประเทศญี่ปุ่น”

“เขาพูดแบบนี้กับโต๊ะผู้บริหารทั้งหมด ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ไม่เชื่อเขา เพราะบารมีของสามีเขาน่าเชื่อถือ เหมือนกับเขาใช้เพาเวอร์ที่เขามีเพื่อที่จะมา ถ้าเธอไม่เชื่อฉันเธอก็หักกับฉันนึกออกปะ เขาจะมีอีโมเชนอลอย่างนี้ คือการข่มขู่ทางอารมณ์ เหมือนเอาเพาเวอร์ของตัวเองมาข่มขู่อะไรประมาณนี้ ว่าอย่าให้ เพราะเขาทำใจไม่ได้ที่ชื่อเสียงเจมี่ บูเฮอร์ ที่เขาสร้างมา เขาไม่ได้สร้างแบบทั้งหมดนะ คือมันหลายบริษัทมากที่ร่วมกันสร้าง  ไม่ใช่เขาคนเดียวค่ะ”

“แล้วเจมี่ก็มีชื่อเสียงแล้วด้วยตอนที่มาร่วมงานกับเขา มันไม่ใช่เขาคนเดียวที่มีกรรมสิทธิ์ในชื่อนี้ พูดจริงๆ ทางกฎหมายเขาก็ไม่มีสิทธินะคะ ทางคุณธรรมก็ไม่มีสิทธิเลย แล้วแรงงานที่ฉันทำงานให้เธอ เธอฟังฉันดีๆ นะ ที่ฉันทำงานให้เธอ เธฮได้เงิน ได้สปอนเซฮร์ จนเธอเอาไปซื้อตึกสร้างตึกที่เธอก็ยังอยู่อาศัยอยู่ทุกวันนี้ นี่คือแรงงานที่มาจากฉันและคนอีกมากมายถูกต้องมั้ย เธอก็ยังได้ใช้ตรงนั้นอยู่นะ”

“ถึงแม้เจมี่มาทำติ๊กต็อกทุกวันนี้มันก็ยังตามมาส่องเจมี่ ว่าเอาชื่อเสียงเจมี่ บูเฮอร์ ที่เขสสร้างเขาคิดว่าเขาสร้าง เอามาใช้เพื่อสร้างชื่อเสียงสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ถ้าเจมี่ไม่ยอมกลับไปทำงานให้กับเขามีทางไหนอีกที่เขาจะทำลายเจมี่ได้อีก วงการบันเทิงเจมี่ไปเล่นละครที่ไหนนะคะ เขาจะยกหูเลยถ้ารู้ว่าเจมี่ไปเล่นและใส่ไฟใส่ร้ายเจมี่อย่างมากมาย ด้วยเรื่องที่เป็นเท็จและปราศจากหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น”

“มีอยู่วันนึงเจมี่ไปทานข้าวที่โรงแรมแถวถนนวิทยุ เจมี่จำชื่อโรงแรมไม่ได้ แต่เป็นโรงแรมใหญ่นี่แหละ แล้วเจมี่ก็ถ่ายรูปไปกินข้าวตอนกลางวันกับเพื่อน ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กว่าวันนี้มาเที่ยวโรงแรมสวย เมียของลูกน้องเขาพอเห็นเจมี่ลงเฟซก็โทรไปบอกประมาณว่า ฉันรู้ดี ว่าเจมี่ไปขายบริการที่โรงแรมนี้ ฉันไปเช็คกับโรงแรมนี้มาแล้วจริงๆ เรื่องนี้จริง ข่าวลือว่าเจมี่ทำอย่างนี้จริงนะคะ ทั้งๆ ที่เจมี่ไปทานข้าว ถ้าเจมี่จะไปทำอะไรที่มันไม่อยากเปิดเผย เจมี่จะถ่ายรูปลงเฟซทำไมใช่มั้ยคะ แล้วมันก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยนอกจากคำใส่ร้ายนะคะ”

“แล้วก็เอาคลิปนี้ไปให้ผัวดูด้วยนะ แล้วก็ถามเขาด้วยว่าจะฟ้องฉันได้ยังไง ทำได้มั้ย บารมีผัวถ้าเธอคิดว่ามันเสกทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอได้อย่างที่เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะบอกให้เธอมันก็แค่คนกระจอกๆ คนนึงที่เอาบารมีคนอื่นมาใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย คนที่เขาอยู่สูงจริงๆ เขาไม่มีพฤติกรรมแบบนี้หรอก เขาต้องบริหารจัดการให้เพาเวอร์ของเขามันดำรงอยู่ แล้วก็ไม่ใช่วิธีการที่เธอทำแบบนี้”

“ ฉันไม่ใช่ฟาดเธอเล็กๆ หรอกนะ มันไม่สมมงนะคะ ฟาดก็ฟาดตอนที่อาวุธครบมือไม่ดีกว่าเหรอ เตรียมหาประเทศสำรองไว้บ้างนะคะ เพราะคนอย่างเธอติดคุกไปก็เปล่าประโยชน์ เปลืองข้าวเปลืองน้ำเปล่าๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ อาชีพของเธอก็มีรองรับอยู่แล้ว เป็นโสเภณีอย่างที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้ คงต้องทำอาชีพเอาเด็กขายบริการอย่างที่เธอใส่ร้ายฉันนั่นแหละ”

“ มีหลักฐานตรงไหนบ้างที่บอกว่าฉันทำอาชีพนี้ ที่มีหลักฐานตรงไหนคะ ใครเป็นคนซื้อคะ หลักฐานโอนตังค์ก็ต้องมีนะคะ มีหรือเปล่า ใครเป็นคนติดต่อมันหาง่ายมากเลยค่ะ ถ้าเกิดว่าฉันทำอย่างนั้นจริงๆ จุดประสงค์ของเธอก็รู้อยู่ เธอทำอย่างนี้เพราะอะไร เพราะเธออิจฉาที่ฉันเอาชื่อเสียงที่ฉันสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉัน กับการให้โอกาสของคนอีกหลายพันคนหลายร้อยคนในวงการบันเทิง เขาให้โอกาสฉันแล้วฉันก็สร้างมันด้วยวิริยะอุสาหะของฉัน”

“ฉันทำตรงนี้เพราะฉันเป็นศิลปิน คนอย่างฉันเรียกว่าศิลปิน ศิลปินคือคนที่อุทิศชีวิตส่วนตัวเพื่องานศิลปะ คนพวกนี้จะมีศักดิ์ศรี คำที่เธอไม่รู้จัก เพราะคนอย่างเธอเขาเรียกว่าโสเภณี โสเภณีคือทำทุกอย่างได้เพราะเงิน ฝากบอกสามีด้วยนะ เราไม่เตือน เราไม่ตำหนิ เราไม่แก้ไข เมื่อภรรยาไประรานผู้อื่นแบบนี้ระวังคนจะหาว่าเราสมรู้ร่วมคิด ปลามันเน่าตัวเดียวระวังมันจะเน่าไปทั้งตระกูล”