อ.รินลดา แฉยับ ดร.เพชรพันปี ขายของไม่ตรงปก เดินหน้าทวงความยุติธรรมให้ “บิ๊กเอ็ม”

วันนี้(7 ม.ค.65) นางสาวรินลดา ชัยหมื่น หมอดูชื่อดัง นำผู้เสียหายที่ซื้อเพชรจาก ดร.เพชรพันปี แต่กลับได้สินค้าไม่ตรงตามสเปคที่โฆษณาไว้ มีผู้เสียหายทั้งที่ซื้อเครื่องประดับและกล่องสุ่ม รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ประมาณ 800 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท

โดยนางสาวรินลดาบอกว่า ตนเป็นลูกค้า ดร.เพชรพันปี ในฐานะที่มีการซื้อขายนาฬิกาปาเต๊ะกันครั้งแรก จากนั้นก็มีการสั่งทำเครื่องดับประเภทกำไล จนกระทั่งเมื่อปี 2564 มาทราบว่า ดร.เพชรพันปีถูกรางวัลที่ 1 ต่อมาก็มีการพูดคุยกันเรื่องตัวเลข เนื่องจากตนก็ชอบเล่นหวย และดร.เพชรพันปีได้นำหวยมาโชว์และชักชวนให้ตนมาเล่นหวย พร้อมกับให้นำเอาสลากที่ถูกรางวัลที่ 1 มาให้ตนถ่ายรูปและโพสต์ในเพจส่วนตัวเพื่อเรียกยอดไลค์ ซึ่งมีคนติดตามกว่าแสนคน แต่ผลที่ได้กลับพบว่า ดร.เพชรพันปีมียอดผู้ติดตามเพิ่มเติม ขณะที่ตนเองถูกสมาชิกตั้งคำถามถามว่าถูกหวยจริงหรือไม่ ตนจึงชี้แจงว่าตนไม่ได้ถูก แต่เป็น ดร.เพชรพันปีที่ถูกหวย ทำให้ยอดการติดตามของ ดร.เพิ่มขึ้น เหมือนใช้ตนเป็นสะพานให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังชี้แจงเรื่องที่นายกฤตฤทธิ์ บุตรพรมหรือ บิ๊กเอ็ม นักแสดง เข้าไปเกี่ยวข้องกับการถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 6 ล้านบาทนั้น เริ่มแรกตนกับบิ๊กเอ็มและภาคิน สามีของตน ลงทุนทำธุรกิจสบู่ร่วมกัน และทาง ดร.เพชรพันปี มีการติดต่อเข้ามาซื้อสบู่ เมื่อถึงวันรับของ ดร.เพชรพันปีมีข้อแม้ว่าให้พาบิ๊กเอ็มไปด้วย ตนเองมองว่าเป็นช่องทางในการต่อยอดธุรกิจ จึงพาดาราหนุ่มไปพูดคุยในวันนั้น แต่การพูดคุยกลับเป็นว่า ดร.เพชรพันปีมีการสอนการทำธุรกิจ โปรโมชั่น และการตลาดต่างๆ ก่อนที่จะมีการตกลงเรื่องค่าตัวบิ๊กเอ็มจำนวน 5 แสนบาท โดยแบ่งให้ตน 1.5 แสนบาท และภาคิน 2 แสนบาท และบิ๊กเอ็ม 1.5 แสนบาท ซึ่งไม่ใช่ค่าตัว แต่เป็นค่าทำกิจกรรมร่วมกับร้านเพชร ซึ่งเป็นสัญญาปากเปล่าว่าจะให้

ทั้งนี้หลังจากเกิดเรื่องตนจึงตั้งข้อสงสัยว่าสลากดังกล่าวมีการถูกรางวัลจริงหรือไม่ ยอมรับว่าตนเห็นสลากที่ ดร.เพชรพันปีนำมา 4 ใบ แต่จะเป็นสลากจริงหรอไม่นั้นตนไม่แน่ใจ รวมทั้งประเด็นที่ตนพูดคุยกับ ดร.เพชรพันปี ว่าจะมีการนำเงินมาให้ 12 ล้านและแบ่งให้บิ๊กเอ็ม 6 ล้านบาทนั้น ตนไม่ขอพูดให้ไปถาม ดร.เอง เพราะเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ทั้งนี้ยืนยันว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตุเรื่องหวยว่า ที่มีกิจกรรมร้านเพชรที่จัดขึ้น v10,v11 มีการให้ลูกค้าร่วมเล่นเกม กรณีที่มีหมายเลขสลาก ตนไม่ขอยืนยันว่าสลากมีจริงหรือไม่ เพราะภาพที่ส่งมาให้เป็นภาพสลากออนไลน์ทั้งหมด จึงอยากให้ร้านเพชรออกมาชี้แจง รวมทั้งเรื่องนาฬิกาที่สามีตนไปซื้อนั้น ขณะนี้นำไปตรวจสอบแล้วปรากฎว่าเอกสารไม่ตรงกับห้องแล็ปที่ผลนาฬิกาตรวจสอบ จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นนาฬิกาแท้หรือไม่

อย่างไรก็ ตนยังคงอยากให้ ดร.เพชรพันปี ออกมาชี้แจงเรื่องทั้งหมด และขอความยุติธรรมและเป็นกำลังใจให้บิ๊กเอ็ม พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่าตนจะสู้ให้น้องเต็มที่

ด้านนางสาวณปภัช ผู้เสียหายร้านเพชรที่ไม่ได้สินค้าตามโฆษณา เปิดเผยว่า รู้จักกับ ดร.เพชรพันปี มานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่สมัยทำเบาะรถยนต์และทำมูลนิธิ ที่อ้างว่าตนเป็นสะใภ้แสนล้าน ช่วยเหลือคนจน จึงเป็นที่น่าเชื่อถือ จึงมีการสั่งซื้อสินค้าเพชร เพราะตนทีความชื่นชอบอยู่แล้ว เดิมได้ของสวย ของจริง เพราะมีการเช็คตลอด แต่ระยะหลังไม่ได้มีการเช็ค เพราะเนื่องจากซื้อเก็บและความเชื่อใจ

หลังจากนั้นทางร้านเพชรมีกิจกรรมเล่นกล่องสุ่ม กล่องละ 30,000 บาทจำนวน 50 กล่อง โดยในจำนวนนี้จะมีลุ้นจับฉลากที่ดิน 1 แปลง ตนจึงตัดสินใจซื้อไป 5 กล่อง เพราะมีโอกาสสูงที่จับฉลากแล้วจะได้ แต่เมื่อมีจำนวนผู้ซื้อมากขึ้นทำให้ ดร.เพชรพันปี ขยายจำนวนกล่องสุ่มมากกว่า 190 กล่อง โดยจะเพิ่มที่ดินให้ 4 แปลง เพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบลูกค้า และมีการจับฉลากไป 4 ครั้ง แต่ครั้งสุดท้ายยังไม่มีการจับฉลากเลย ทำให้ตนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ประกอบกับมีลูกค้าหลายรายมีการเข้ามาพูดคุบในไลน์กลุ่มให้นำเพชรไปตรวจ ตนจึงตัดสินใจนำเครื่องปะบกับที่มีอยู่ไปตรวจ จนพบว่าเครื่องประกับบางชิ้น มาตรฐานทองหรือเพชรไม่ได้ตามโฆษณา ส่วนแหวนนพเก้า พลอยบางชิ้นเป็นของปลอม ซึ่ง ดร.เพชรพันปี ได้ออกมาชี้แจงว่า เครื่องประดับทุกชิ้นจะได้เป็นพลอยแล็ป ซึ่งก่อนหน้านี้มีการโฆษณาว่าจะได้พลอยนพเก้าของแท้ตามตำนาน

โดยการแถลงครั้งนี้ยังมีการโฟนอินถึงอดีตพนักงานเพชรมาเปิดเผยว่า เพชร พลอย ส่วนใหญ่ที่นำมาขาย ไปซื้อที่วัดเกาะ วัดแขก และลาซาด้า เม็ดละ 3 บาท โดยนำไปปลุกเสกเพียงครั้งเดียวที่นครปฐม แต่ปัจจุบันขายหมดแล้ว และไม่เคยปลุกเสกอีกเลย และครั้งนี้ไม่อยากทนหลอกลวงประชาชนจึงได้ออกมาเปิดเผย ซึ่งทุกครั้งที่ลูกค้าถามถึงน้ำหนักทอง ทาง ดร.เพชรพันปี จะให้พนักงานไม่ต้องตอบลูกค้าและไม่ต้องขายให้ หาก พนักงานทำผิดพลาดก็จะถูกต่อว่า

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงเครื่องรางของขลังภายในตำหนักมีองค์จริงหรือไม่นั้น พนักคนดังกล่าวตอบว่า ตนเป็นผู้จ่ายเงินซื้อองค์เทพมาจากลาซาด้าทั้งหมด ซึ่งตนเองเป็นพนักกงานตั้งแต่ปี 2563-2565 เปิดร้านมาประมาณ 1 ปี ทางร้านเริ่มค่อยๆ ลดสเปคสินค้าลง ซึ่งแหวนที่นำมาขายส่วนมากไม่ตรงมาตรฐาน ซึ่งจริงๆแล้วส่วนมากทางร้านใช้ทองเพียง 9K เท่านั้น ไม่ใช่ 18 K หรือ 21 K ตามที่โฆษณาไว้

ขายเฉพาะแหวนนพเก้าไปทั้งหมดประมาณ 500 วง ราคาตั้งแต่ 9,000 – 60,000 บาท โดยทีผู้ร่วมรู้เห็นแอดมิน 4 คนและช่างทำแหวน 6 คน ซึ่งตนยินยันว่าไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการขายใดๆ ทั้งสิ้น ทำงานตามหน้าที่ และเคยมีการท้วงติง ดร.เพชรพันปีแล้ว แต่ก็ยังทำเหมือนเดิม