“พิธา” ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ขอนำพาประเทศไทยให้เปลี่ยนแปลง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร่วมเวทีปราศรัยใหญ่พรรคก้าวไกล ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ของคนไทยทุกคน โดยกล่าวว่า ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่วันนี้ เพราะมีความฝันและความหวังแบบเดียวกัน เราเชื่อเหมือนกันว่า ประเทศไทยที่เรารักดีกว่านี้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ความฝัน ความหวัง ของพวกเรานั้นเรียบง่าย หลากหลาย ตรงไปตรงมา

สำหรับพี่น้องในภาคเหนือ ความฝันของประชาชนเพียงแค่มีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ มีที่ดินทำกินของตัวเอง สำหรับพี่น้องภาคอีสาน สิ่งที่เราต้องการคือไม่ให้หน้าแล้งต้องขนน้ำไปหาคน หน้าฝนไม่ต้องขนคนไปหาน้ำ สำหรับพี่น้องภาคตะวันออก ขอแค่ไม่ต้องทนกับกลิ่นเน่าเหม็นของเหมืองหรือโรงงานขยะ สำหรับคนวัยเกษียณ ความฝันของประชาชนเรียบง่ายเพียงแค่รัฐบาลจะดูแลคุณมากกว่าไข่ต้มฟองเดียว ส่วนใครที่อยู่ในวัยเดียวกับตน วัยที่เป็นพ่อคน เราอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ขีดเขียนโดยประชาชน มีการกระจายอำนาจให้ประชาชนเลือกผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด สำหรับคนรุ่นใหม่ อยากเห็นการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เอาอำนาจนิยมออกจากการศึกษาไทย

“ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปรวบรวมความหวัง ความฝันของผู้คนทั่วประเทศ เห็นข้อจำกัดของการเมืองไทยที่ผ่านมาแจ่มชัดมากขึ้น วันนี้ ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน เพื่อจบปัญหาเก่าในอดีต เผชิญปัญหาใหม่ในปัจจุบันอย่างมีวุฒิภาวะ แล้วพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่เราไม่เคยไปถึงมาก่อน” พิธากล่าว

พิธากล่าวว่า ปฏิเสธกันไม่ได้ว่า สิ่งที่ฉุดรั้งสังคมไทยเอาไว้ สำคัญมากๆ คือเราติดหล่มความขัดแย้งทางการเมืองมาไม่ต่ำกว่า 17 ปี วันนี้พวกเราก็ยังบอกไม่ได้ว่าระบบการเมืองแบบไหนที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่จะจบปัญหานี้ได้ ต้องยุติวงจรรัฐประหาร เริ่มต้นกันที่การปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้บรรลุ 3 เป้าหมาย คือ (1) ทำให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน (2) ทำให้กองทัพจิ๋วแต่แจ๋ว กองทัพมีขนาดเล็กลง แต่โปร่งใสขึ้น ทันสมัยขึ้น มีสวัสดิการให้ทหารชั้นผู้น้อยมากขึ้น และ (3) ภารกิจของกองทัพมีเพียงป้องกันภัยความมั่นคงจากภายนอกประเทศ ส่วนปัญหาความมั่นคงภายใน ปล่อยให้เป็นเรื่องของพลเรือน เช่นนี้แล้ว กองทัพก็จะมีศักดิ์ศรี ไม่มาเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน

สำหรับคนที่เคยเห็นด้วยกับการรัฐประหารนั้น ตนเข้าใจว่าหลายท่านไม่ไว้วางใจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มองเห็นการเมืองในสภาเป็นเรื่องสกปรก เกลียดการคอร์รัปชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน ระบบอุปถัมภ์ หรือการใช้อำนาจโดยมิชอบ ตนอยากจะบอกทุกคนว่า 17 ปีที่ผ่านมา มันได้ให้บทเรียนแก่พวกเราอย่างสาสมแล้วว่า การเมืองดีๆ ที่เราอยากเห็นนั้นไม่มีทางลัด มีแต่ต้องทำให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรงมากขึ้นๆ เท่านั้น ถึงจะแก้ปัญหาที่เราไม่พึงปรารถนาได้ การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั้นไม่มีอยู่จริง และนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ฉ้อฉลและตรวจสอบไม่ได้ยิ่งกว่านักการเมืองจากการเลือกตั้ง

ดังนั้น เพื่อจบปัญหาเก่าให้ได้ สิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลจะทำไปพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพ ยุติวงจรรัฐประหาร คือตนจะทำให้สังคมกลับมาศรัทธาในระบบรัฐสภาอีกครั้ง จะยกระดับคุณภาพของนักการเมืองไทย สร้างระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ระบบป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่พวกเราต้องการ คือ ‘ระบบการเมืองที่ดี’ ไม่ใช่การเมืองที่ฝากความหวังไว้กับ ‘คนดีย์’ ที่บางทีรู้หน้า แต่อาจไม่รู้ใจ

พิธากล่าวว่า ทุกสังคมย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สังคมไทยก็เช่นกัน เกิดความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ความปรารถนาแบบใหม่ เกิดพลังทางสังคมใหม่ๆ และเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้น ย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้าย เชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดลงตัวที่เรายอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง และจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่างหลากหลาย บริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายมาเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดี มีกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐ ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ

พิธากล่าวว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่เป็นผลมาจากปัญหาที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างทิ้งเอาไว้ นั่นคือการนำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถ้าไม่มีใครอิงแอบสถาบันเพื่อก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองให้คนเกลียดชังกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าเราไม่ใช้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือมาทำลายล้างกัน วันนี้เยาวชนจำนวนมากที่ตกเป็นผู้ต้องหาตาม ม.112 คงได้ใช้ชีวิตวัยเยาว์อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ถูกกักขังจำกัดเสรีภาพ
.
“ถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ๆ อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอ ด้วยการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมือง แล้วหากุศโลบายที่ดีเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จัดวางพระราชอำนาจและพระราชสถานะให้เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำแบบนี้สถาบันจึงจะดำรงอยู่ได้อย่างสง่างามในสังคมไทย”

พิธากล่าวว่า เมื่อจบปัญหาเก่า จัดการปัญหาใหม่ได้ เราจะสร้างฉันทามติของสังคมไทยใหม่ แล้วพวกเราจะมีสมาธิ มีสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อนำพาประเทศไปสู่อนาคต นายกพิธา และทีมพิธาในรัฐบาลก้าวไกล พร้อมจะวางรากฐานใหม่ที่มั่นคงของสังคมไทยด้วยระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ สร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตด้วย เปิดโอกาสและแบ่งปันความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมด้วย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเครื่องระบบราชการและระบบงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ กระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ปฏิวัติระบบการศึกษาให้เท่าทันโลก นี่คือการจบปัญหาเก่า เผชิญปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ พาสังคมไทยไปสู่อนาคต

“ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ไม่ว่าท่านจะโหวตหรือไม่โหวตให้ผม ผมก็จะรับใช้ท่าน ผมพร้อมจะนำประสบการณ์และความเข้าใจทั้งต่อโลกเก่าและโลกใหม่ มาบริหารประเทศเพื่อไปสู่อนาคตใหม่ของประเทศไทยที่ไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา ผมพร้อมจะนำประสบการณ์ที่มองเห็นข้อจำกัดของการเมืองแบบเดิม เพื่อทำในสิ่งที่การเมืองในอดีตทำไม่สำเร็จ 14 พฤษภาคมนี้ ไปเลือกตั้งด้วยความหวัง ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว เลือกเพื่อออกจากอดีต เลือกเพื่อไปสู่อนาคต ไม่ใช่เลือกเพื่อวนกลับไปที่เดิม คำตอบสุดท้าย ชัดเจน ตรงไปตรงมา มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง กาก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ถึงเวลาประชาชนกล้าฝันใหญ่ ก้าวให้ไกล ก้าวไปด้วยกัน” พิธากล่าว