พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กับอดีตพระเจ้าชาร์ลส์ทั้ง 2 พระองค์

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมานี้ สิริพระชนมพรรษา 96 พรรษา เป็นการสิ้นสุดการครองราชย์ที่ยาวนานถึง 70 ปี

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระโอรสองค์โตได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นประมุขพระองค์ใหม่แห่งสหราชอาณาจักร และเครือจักรภพอื่นๆ อีก 14 ประเทศ หลังจากที่ทรงเป็นองค์มกุฎราชกุมารมานานที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษ จึงทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ผู้มีพระชนมพรรษา 73 ปีทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ขึ้นครองราชย์เมื่ออายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 หรือพระนามเต็ม ชาร์ลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ ประสูติที่พระราชวังบักกิงแฮม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2491 ปีที่ 12 ในรัชสมัยของกษัตริย์จอร์จที่ 6 ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 3 ปีพระองค์ทรงอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทอันดับหนึ่งไปโดยอัตโนมัติ ภายหลังจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ขึ้นครองราชย์ ในปี 2495

สำหรับการเลี้ยงดูของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 นั้นแตกต่างจากกษัตริย์องค์ก่อนๆ ซึ่งได้รับการศึกษาโดยครูสอนพิเศษส่วนตัว แต่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ได้เข้าศึกษาในแบบสามัญ ที่โรงเรียนในกรุงลอนดอน จากนั้นก็เข้าศึกษาด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และทรงเป็นรัชทายาทราชวงศ์อังกฤษพระองค์แรกที่ได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

สำหรับเรื่องชีวิตการสมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงไดอานาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทรงเข้าพระพิธีเสกสมรสกับเจ้าหญิงไดอานาในปี 2524 โดยถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก ซึ่งมีผู้ชมกว่า 750 ล้าน และต่อมาเจ้าหญิงไดอานา ทรงมีประสูติกาลพระโอรส 2 พระองค์ ได้แก่ เจ้าชายวิลเลียม และเจ้าชายแฮร์รี่

Simon Miles/Allsport/Getty Images/Hulton Archiveไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์

จนกระทั่งเจ้าหญิงไดอานาทรงออกมากล่าวว่าชีวิตสมรสของพระองค์อยู่กันแบบมี “เราสามคน” โดยมีนาง คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ เข้ามาข้องเกี่ยวด้วย ทำให้ชีวิตสมรสของชาร์ลส์กับไดอานาถึงจุดสิ้นสุดลง ในปี 2535 และท้ายที่สุด เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าหญิงไดอานา ก็หย่ากันในปี 2539 ก่อนที่จะเกิดโศกนาฎกรรมที่ เจ้าหญิงไดอานา ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตในกรุงปารีส เมื่อปี 2540

ปี 2548 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้แต่งงานกับนางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ผู้ที่หย่ากับสามีเก่าเมื่อปี 2538 จึงกลายเป็นจุดสนใจของสาธารณชน

แม้ในช่วงแรกของการแต่งงานนางคามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์จะสัญญาว่าจะไม่รับตำแหน่งพระราชินี คามิลลาได้รับการยอมรับและยกย่องมากขึ้น ด้วยสไตล์ที่ดูเรียบง่ายเป็นกันเองกับสาธารณชน ทำให้สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีกระแสรับสั่งในพระราชพิธีฉลองการครองราชย์ครบ 70 ปีของพระนางเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมานี้ว่า “หวังให้คามิลลาได้รับตำแหน่งราชินี เคียงข้างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เมื่อขึ้นครองราชย์”

ดังนั้นคามิลลาจึงได้ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี (Queen Consort) ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3

Yui Mok – WPA Pool/Getty Imagesพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลา แห่งสหราชอาณาจักร ทอดพระเนตรการร่วมไว้อาลัยของประชาชนต่อสมเด็นพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นอกพระราชวังบักกิงแฮม กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2565

การที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ซึ่งมีชื่อเต็มว่าชาร์ลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ สามารถเลือกชื่อ 1 ใน 4 ชื่อดังกล่าวได้และได้ทรงเลือกชื่อ ชาร์ลส์ที่ 3 ก็เป็นเรื่องน่าสนใจมากทีเดียวเพราะมีกษัตริย์อังกฤษพระองค์หนึ่งชื่อ พระเจ้าจอห์นนั้นมี “ชื่อเสีย” มากจนไม่มีกษัตริย์อังกฤษพระองค์ไหนเลือกที่จะเป็นพระเจ้าจอห์นที่ 2 เลยเป็นเวลา 806 ปีมาแล้ว

ดังนั้นจึงน่าสนใจที่ศึกษาว่าพระเจ้าชาร์ลส์ทั้ง 2 พระองค์ที่ไม่มีกษัตริย์อังกฤษพระองค์ไหนเลือกพระนามนี้มาเป็นเวลาถึง 337 ปีมาแล้วมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ได้เป็นกษัตริย์ของอังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์ แห่งราชวงศ์สจวร์ต ตั้งแต่ปี 2168 (ค.ศ.1625) จนกระทั่งถูกสำเร็จโทษโดยการตัดพระเศียรในปี 2192 (ค.ศ.1649) เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นทรราชในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เนื่องจากพระองค์จัดให้มีเก็บภาษีเองโดยปราศจากการอนุมัติของรัฐสภา แต่ในปี 2203 (ค.ศ.1660) พระเจ้าชาลส์ที่ 1 ได้ถูกยกย่องให้เป็น “นักบุญชาลส์ สจวร์ต” โดยคริสตจักรแห่งอังกฤษ

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์

ส่วนพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ได้รับเชิญจากชาวอังกฤษให้กลับมาเป็นกษัตริย์อังกฤษในสมัยที่เรียกกันว่า “การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ” ในปี 2203 หลังจากที่รัฐบาลสาธารณรัฐภายใต้การนำของริชาร์ด ครอมเวลล์ล่มสลายลงในปี 2202 (ค.ศ.1659) เนื่องจากสมัยของครอมเวลล์เป็นสมัยที่เคร่งครัดทางศาสนาจนเกินไป จำกัดในเรื่องบันเทิงจนแทบจะไม่มีการละเล่นอะไรเลยและแบบเสื้อผ้าก็บังคับให้ใช้สีขาวและดำเป็นพื้น คนอังกฤษจึงปฏิเสธสาธารณรัฐแบบครอมเวลล์ไปในที่สุด

พระเจ้าชาลส์ที่ 2 มีชื่อเสียงว่าทรงเป็น “ราชาเจ้าสำราญ” ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตในราชสำนักของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสำราญซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่ถูกเก็บกดมาเป็นเวลานานภายใต้การปกครองของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์และกลุ่มพิวริตัน

พระเจ้าชาร์ลสที่ 2 แห่งอังกฤษและสกอตแลนด์

ในช่วงปลายของรัชชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ได้ยุบรัฐสภาในปี 2222 (ค.ศ.1679) และทรงปกครองโดยไม่มีรัฐสภาจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2228 (ค.ศ.1685)

น้องชายของพระองค์คือพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อมาโดยไม่มีรัฐสภาจนในที่สุดจึงเกิด “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution)” ขึ้นในปี 2231 (ค.ศ.1688) ซึ่งถือเป็นการปูทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของอังกฤษในที่สุด

น่าสนใจนะครับสำหรับพระเจ้าชาร์ลส์ทั้ง 2 พระองค์เมื่อ 337 ปีมาแล้วจึงมีพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ขึ้นมาในปี 2565