ตั้งค่าหัว 5 หมื่น “เป้ กิติกร” ซีอีโอ P Miner หลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่คริปโต ยึดทรัพย์ร้อยล้าน

ยึดทรัพย์  “เป้ กิติกร” ซีอีโอ P Miner แชร์ลูกโซ่คริปโต หลอกลงทุนสูญพันล้าน เจ้าหน้าที่ตั้งค่าหัว 5 หมื่น คาดหนีออกนอกประเทศแล้ว

เฟซบุ๊ก หน่วยป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โพสต์ข้อความพร้อมภาพของ เป้ กิติกร ผู้บริหารบริษัท พี มายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป พร้อมระบุข้อความว่า “50,000 บาท สำหรับเบาะแสที่สามารถนำไปสู่การจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, DSI และ ปปง. นายกิติกร อินต๊ะ เจ้าของแชร์ลูกโซ่ P miner ที่จังหวัดเชียงใหม่ เบาะแสล่าสุด อยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว”

โดยก่อนหน้านี้ นายกิติกร ประกาศลงในกลุ่มการลงทุนว่า ตนเองมีปัญหาเรื่องการขุดเหมือง เนื่องจากค่าไฟเเพง จึงไม่คุ้มต่อการขุดต่อ โดยขอว่าใครที่ได้กำไรไปเเล้ว ไม่ขอคืนเงินให้ จึงทำให้มีผู้เสียหาย รวมตัวกันที่บ้านของนาย กิติกร เพื่อขอเงินคืน หรือช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ก่อน นายกิตติกร จึงโอนเงินที่เป็นเงินปันผลคืนให้ผู้เสียหาย แต่ยังมีผู้เสียหายบางส่วนยังไม่ได้เงินคืน จึงรวมกลุ่มไปเเจ้งความ ที่ DSI จังหวัดเชียงใหม่ กองปราบฯ สถานีตำรวจในพื้นที่ รวมถึง สอท.ด้วย โดยมีการประเมินว่าจำนวนผู้เสียหายทั้งรายเล็กและรายใหญ่น่าจะมีรวมกันหลายพันราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,700 ล้านบาท

  • ผู้เสียหายร้อง DSI เชียงใหม่ หลังแชร์ลูกโซ่หลอกลงทุนคริปโต สูญเงินหลักพันล้าน

พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท. อธิบายรูปแบบของการโกง ระบุว่า เริ่มต้นจากการที่ กิติกร มีความรู้ด้านบิตคอยน์ ขุดเหมือง ขุดเงินคริปโตเคอร์เรนซี สกุลเงินต่างๆ หลังจากนั้นได้ระดมคนที่รู้จัก คุ้นเคย หรือ คนที่อยู่ในกลุ่มการลงทุน ให้มาร่วมลงทุนด้วย จากนั้น นายกิติกรก็ได้สร้างภาพ ให้ตัวเองมีความเป็นนักธุรกิจ เป็นที่สังคมยอมรับ เเสดงตัวเป็นผู้ร่ำรวย โชว์เงินทอง สิ่งของต่างๆ แบรนด์เนม ว่ามีได้เพราะประกอบธุรกิจนี้ รวมถึงมีการบริจาคหลายๆ อย่างให้หน่วยงานรัฐด้วย ทำให้ผู้คนเกิดความศรัทธาและมั่นใจ ว่าธุรกิจที่ทำมาร่ำรวยจริงๆ ถ้าอยากจะรวยมาคุยกัน มีแนวทางทำธุรกิจให้

พอมีคนสนใจลงทุนด้วย นายกิติกร ก็จะชวนให้ลงทุนตามโปรแกรมที่ตัวเขาวางไว้ให้ มีกว่า 10 โปรแกรม ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งหมด และแต่ละโปรแกรมไม่เหมือนกัน

 

จากการสืบสวนของตำรวจ สอท. ทราบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 จนถึงปัจจุบัน มีผู้เสียหายลงทุนค่อนข้างเยอะ บางคนลงคนเดียวถึง 54 ล้านบาท ขณะนี้มีผู้เสียหายในระบบจำนวน 380 คน มูลค่าความเสียหาย 300 กว่าล้านบาท และยังมีผู้เสียหายที่ยังไม่เดินทางเข้าแจ้งความด้วย

โดยขณะนี้ ตำรวจ สอท.ได้ขอศาลออกหมายจับ นายกิติกร และพวกแล้ว ฐานความผิด คือ ร่วมฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.เงินกู้

ซึ่งที่ผ่านมา จะพบว่า เฟซบุ๊กของนายกิติกร ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา มีรถยนต์หรูอย่างแลมโบกินี่ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน เฟอร์รารี่ จอดอยู่หน้าบ้านใหม่ จากนั้น  เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ระบุไว้ชัดเจนว่า ตนต้องการที่จะขายรถยนต์เฟอร์รารี่ แลมโบกินี่ และเบนท์ลีย์ เพื่อที่จะนำเงินไปใช้หนี้ โดยยังบอกด้วยว่า ไม่มีเจตนาจะฉ้อโกง หรือคิดหลบหนีแต่อย่างใด

ล่าสุดวันนี้ 30 ส.ค. 2565 ตำรวจและ ปปง. สนธิกำลังเข้ายึดทรัพย์ที่บ้านของนายกิติกร ได้ของกลางเป็นรถหรูจำนวน 5 คัน นอกจากนี้ยังพบนาฬิกาหรู โฉนดที่ดิน และได้อายัดบัญชีทั้งหมดเอาไว้แล้ว