สส.โรม ชี้ชัด สว.หมดอำนาจเลือกนายกฯ พ.ค.67 ตีความบิดพลิ้ว ถือเป็น “รัฐประหาร”

สส.โรม อธิบายชัด สว.หมดอำนาจเลือกนายกฯ พ.ค.2567 หากยังตีความบิดพลิ้ว ถือเป็น “รัฐประหาร” และย้ำอีกครั้ง ก้าวไกลยังจับมืออีก 7 พรรคแน่น

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @RangsimanRome ประเด็นทางออกในการจัดตั้งรัฐบาลที่ยืดเยื้อหลังการเลือกตั้ง ระบุว่า “ทางออกหมายเลข 272: จะต้องรออีก 10 เดือนหรือไม่ ส.ว. มีหน้าที่ต้องตัดสินใจ”

ผมเห็นข้อถกเถียงในสังคมต่อสถานการณ์การเลือกนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ ที่ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว. มีส่วนร่วมลงมติเลือกด้วย ซึ่งยังเหลือเวลาอีกประมาณ 10 เดือนที่ ส.ว. จะมีอำนาจนี้ ว่าตกลงแล้วเราควรจะ “รอ” ไปจนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาแล้วค่อยเลือกนายกฯ โดย ส.ส. เท่านั้น หรือจะ “ยอม” ให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุดไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะประกอบด้วยพรรคใดบ้างก็ตาม

ก่อนอื่นผมขอทำความเข้าใจให้เป็นที่ชัดเจนก่อนว่าแม้ว่า ส.ว. 250 คน เมื่ออยู่ครบ 5 ปีแล้วจะยังต้องอยู่รักษาการต่อไปจนกว่าจะมี ส.ว. ชุดใหม่ก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่า ส.ว. จะยังคงมีอำนาจเลือกนายกฯ ติดอยู่กับตัวด้วย เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เขียนไว้ชัดยิ่งกว่าชัดว่าอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ มีแค่ “ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้” เท่านั้น ซึ่ง ส.ว. ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเมื่อ 11 พฤษภาคม 2562 และมีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกสุดเมื่อ 22 พฤษภาคม 2562 ดังนั้นอำนาจเลือกนายกฯ ของ ส.ว. ไม่มีทางเกินไปกว่าเดือนพฤษภาคม 2567 แน่ๆ (และหากยังมีความพยายามตีความบิดพลิ้วให้มีอำนาจนานไปกว่านั้นอีก ก็ต้องถือเสมือนว่าเป็นการทำรัฐประหารแล้ว)

อย่างไรก็ตาม ผมขอย้ำอย่างหนักแน่นว่าประชาชนไม่มีความจำเป็นต้อง “รอ” จนถึง 10 เดือนกว่าจะได้รัฐบาลเลย และไม่จำเป็นต้อง “ยอม” เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เรารู้ดีอยู่แก่ใจลึกๆ ว่ามีสิ่งไม่พึงปรารถนาแฝงอยู่มาปกครองประเทศโดยเร็วด้วย

ผมและพรรคก้าวไกลขอยืนยันอีกครั้งว่าการรวมตัวของ 8 พรรคการเมือง 312 เสียง (ซึ่งมีพรรคก้าวไกลรวมอยู่ด้วย) เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยครบถ้วนแล้วทุกประการที่จะจัดตั้งเป็นรัฐบาลของประชาชนได้ และยืนยันที่จะอยู่ร่วมกับ 8 พรรคร่วมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ตราบเท่าที่

1. “มีลุงไม่มีเรา” ไม่ดึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติเข้ามาเป็นรัฐบาลด้วย

2. พรรคก้าวไกลจะเดินหน้านโยบายแก้มาตรา 112 ต่อไป

ซึ่งทั้ง 2 ข้อสงวนของเรานี้มิได้ทำให้ 8 พรรคร่วมเสียความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย

และเมื่อทั้ง 8 พรรคยืนอยู่บนจุดที่ถูกต้องในอ้อมกอดของประชาชน นั่นเท่ากับว่าพวกเราได้ทำหน้าที่ในส่วนของพวกเราอย่างเต็มกำลังแล้วที่จะไม่ให้ประชาชนต้องรอต่อไปอีก 10 เดือน ส่วนที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของ ส.ว. แล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อ

การที่ ส.ว. ที่มาจากการเลือกของคณะรัฐประหารมีอำนาจเลือกนายกฯ ด้วยนั้น ไม่ใช่สิ่งปรกติในระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่ ส.ว. แต่ละท่านต่างเลือกได้ที่จะไม่หลงอยู่กับอำนาจนั้น เลือกได้ว่าจะใช้อำนาจนั้นเพื่อพาประเทศออกจากความผิดปรกติเสียตั้งแต่ตอนนี้ หาใช่ยื้อมันต่อไปอีก 10 เดือน เลือกได้แม้กระทั่งจะ “ปิดสวิตช์” ตัวเองอย่างแท้จริงด้วยการร่วมแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกมาตรา 272 นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่เหลือบ่ากว่าแรงเลยสำหรับ ส.ว. ที่ยังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่ในตัวเอง

ผมและพรรคก้าวไกลขอยืนหลังตรงและจับมืออีก 7 พรรคร่วมไว้อย่างแนบแน่น รอฟังการตัดสินใจของ ส.ว. ทุกท่าน หวังว่าจะไม่ทำให้ประชาชนต้องรอนานถึง 10 เดือนนะครับ