ตอบแทนน้ำใจพี่น้องไทย-ลาวเรียบร้อย สำหรับนักร้องหนุ่ม โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ล่าสุดได้ลาสิกขาแล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา หลังบวชศึกษาพระธรรม 7 วัน ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
เมื่อ มีโอกาสพูดคุยกับนางเอกสาว ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ ที่เพิ่งเดินทางกลับจากไปรับทิดโตโน่ ที่จังหวัดนครพนม จึงได้ถามถึงความรู้สึกหลังร่วมอนุโมทนาบุญกับแฟนหนุ่มในการบวชครั้งนี้ รวมถึงเรื่องหนุ่มโตโน่มีภาวะถอดตัวละครไม่ออก ทำให้ณิชาถึงกับกลัวจนร้องไห้ และกระแสท่าเต้นสตาร์ทมอไซค์ ตอนแสดงคอนเสิร์ตเพิ่งเป็นประเด็นถูกแซวขึ้นมา
โดย ณิชา เผยว่า “เป็นทิดโน่ ก็สงบลงกว่าเดิมอีกค่ะ(หัวเราะ) ล้อเล่น ไม่ใช่ค่ะ ก็เป็นเหมือนเดิม เขาบอกว่าได้บวชแล้วก็ได้คิดไตร่ตรองกับอะไรบางอย่างในชีวิต คือก็ได้อะไรมาจากการบวช แต่เขาเย็นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เย็นมากแล้ว(หัวเราะ) ถ้าเย็นกว่านี้เดี๋ยวหนูต้องเย็นลงด้วย”
เราได้ไปใส่บาตรบ้างไหม ?
“หนูไปแค่วันบวชกับอีกวันใส่บาตร แล้วก็กลับมาทำงานค่ะ”
เราเห็นความแตกต่างของเขาก่อนกับหลังบวชไหม ?
“ไม่ค่ะ เขาก็คือพี่โน่คนเดิมค่ะ(หัวเราะ) แต่ว่าเขาก็ได้ข้อคิด ได้วิธีคิดอะไรมาจากการบวช ก็เป็นเรื่องที่ดี”
เสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างแล้ว เขาตั้งใจจะทำอะไรอีกต่อจากนี้ ?
“ยังไม่ได้คุยเหมือนกันค่ะ แต่มันยังไม่เสร็จสิ้น เพราะว่ายังไม่ได้มอบอุปกรณ์ อันนั้นต้องให้ทีมเป็นคนชี้แจงต่างๆ เพราะหนูไม่ได้รู้รายละเอียด”
เขาได้เล่าเรื่องตอนบวชให้เราฟังไหม ?
“ก็เล่านะคะ แต่เดี๋ยวให้เขาเล่าเองดีกว่า น่าจะเล่ารู้เรื่องกว่าหนูด้วย หนูอาจจะอธิบายเดี๋ยวผิดเดี๋ยวถูก ไม่ใช่แบบที่เขารู้สึก”
ปีนี้เขามีแพลนจะทำอะไรยิ่งใหญ่อีกไหม ?
“ถ้าจากที่คุยต้นปี แพลนของเขาคือการดูแลตัวเองมากขึ้นค่ะ (ดูแลเราด้วยไหม?) ไม่เป็นไรค่ะ ให้เขาดูแลตัวเองอย่างเต็มที่”
โตโน่บวชแล้วมีแพลนจะเบียดเลยไหม ?
“ไม่เบียดค่ะ (หัวเราะ) (ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้?) ไม่ได้คุยค่ะ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดแล้ว หนูก็ยังอยากสนุกกับสิ่งที่ทำ เขาก็เหมือนกัน มันยังไม่ได้ต้องแพลนอะไร หนูไม่ได้ชอบแพลนชีวิตขนาดนั้น หนูชอบปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เราทำดีที่สุดทุกวันนี้”
แต่ก็มองอนาคตร่วมกันไหม ?
“ก็ถ้ามันดี มันก็เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ มันฟิกไม่ได้”
เรามองตัวเองในอนาคตว่าจะต้องมีครอบครัวยังไงบ้างไหม ?
“ไม่มีค่ะ ตอนนี้สิ่งเดียวที่หนูโฟกัสคือชีวิตหนู ครอบครัวหนู การทำงานหนู คนรอบข้าง แค่นั้นนะคะ ไม่ได้คิดเลยว่ามันต้องเป็นรูปแบบไหน ในตอนแก่หรือตอนอะไร เพราะว่าสิ่งที่มันอยู่ตอนนี้ มันสำคัญกับหนูเหมือนกัน งานที่ทำอยู่ ละครทุกเรื่อง หนังทุกเรื่องที่เล่น งานทุกงานที่ทำ มันสำคัญกับหนูหมดค่ะ มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าปัจจุบันสำหรับหนูนะ”
เราไม่เคยแพลนเลยหรอ ว่าจะแต่งงานอายุเท่าไหร่ ?
“ไม่ ก็แล้วแค่คน แต่ว่าหนูไม่ได้คิดเลย หนูยังร้อยเปอร์เซ็นต์มากกับชีวิตตัวเอง มันเลยยังไม่ได้คิดพาร์ทอื่น หรือว่าสเต็ปไหน ต้องเป็นแบบไหน”
เคยมีคุยกันจริงจังบ้างไหมกับโตโน่ ?
“ไม่เลย แล้วแม่หนูก็ชิวมากค่ะ คือมันไม่มีอะไรมาฟิกกันได้ เดี๋ยวมันถึงวันนั้นก็จะรู้เอง ตอนนี้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่กับตัวเองมากๆ ยังอยากไปเที่ยวกับเพื่อน ยังอยากอยู่กับที่บ้าน ยังอยากทำอะไรของตัวเองเยอะมาก ไม่ใช่แค่การแสดง มันยังมีหลายอย่างที่อยากทำ”
แต่โตโน่ก็อายุมากขึ้นแล้ว เขารอเราหรือเปล่า ?
“ไม่มีใครรอใครค่ะ ทุกคนก็ใช้ชีวิตของตัวเอง ต่างคนต่างเต็มที่ในพาร์ทของตัวเอง”
คนที่เราจะแต่งงานด้วยต้องเป็นยังไง ?
“ไม่รู้เลยค่ะ หนูไม่รู้ว่าอีก 5 ปีหนูจะเป็นคนยังไง อีก 10 ปีจะเป็นคนยังไง ความคิดหนูจะเป็นแบบไหน หนูเลยไม่มีไงคะ ว่ามันต้องเป็นแบบไหน อยู่กับปัจจุบัน อย่างที่หนูบอกอะ เรื่องที่หนูเชื่อคือคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน หนูไม่สามารถฟิกอะไรที่มันตายตัวได้ แค่ตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้มันเป็นแบบนั้น แล้วอะไรที่มันจะพอดีกับเรา ก็ให้มันอยู่กับเราแค่น้้นเอง มันฟิกอะไรไม่ได้ ตอบไม่ได้เลย”
ตอนนี้โตโน่อยู่ในเวอร์ชั่นที่เราโอเคใช่ไหม ?
“ตอนนี้มันโอเคกัน มันเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันแล้วมันดี มันก็โอเคค่ะ”
เรื่องที่โตโน่มีภาวะถอดตัวละครไม่ออก เขาบอกว่าไปร้องเพลงวันเกิดให้เราแล้วทำให้เราร้องไห้ด้วย เกิดอะไรขึ้น ?
“ใช่ค่ะ คือจริงๆ หนูก็จำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ร้องไห้จริงๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เขาเลยอะ คือเอเนอร์จี้เขาไม่ใช่โตโน่ที่เย็นอะ ในตอนนั้นนะคะ คือมันไม่ใช่แค่แววตาหรอกค่ะ เวลาเราอยู่กับใครบ่อยๆ เราจะรับพลังงานได้ ว่าคนนั้นเครียดอยู่นะ คนนั้นเสียใจอยู่ แต่ว่ามันเป็นพลังงานโดยรวม หนูก็บอกไม่ถูก เวลาเราอยู่กับเพื่อน เราก็จะรู้ว่าเพื่อนไม่โอเค มันจะรู้โดยอัตโนมัติ อย่างหนูไม่โอเค แม่ก็จะรู้โดยอัตโนมัติว่าหนูต้องเป็นไรแน่เลย ก็เหมือนกันค่ะ หนูรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่เลย เลยรู้สึกว่าต้องช่วยกันหาทางออกแล้วแหละ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อ เราเองก็กังวลไปด้วย เครียดไปด้วย”
ตอนนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม ว่าเขาถอดคาแร็กเตอร์ไม่ได้ ?
“หนูไม่แน่ใจว่าเขาไม่รู้ตัวเลยไหม อันนี้อาจจะต้องถามเขา ว่าในภาวะนั้นเขายังไงบ้าง แต่ ณ วันที่ได้คุยกันวันนั้น เขาก็รู้ตัวเลยว่าไม่ได้แล้ว ต้องพยายามหาทางออกแล้ว”
สิ่งที่ทำให้เราร้องไห้คือเราเห็นอะไรตอนนั้น ?
“เรารู้สึกว่ามันเครียดค่ะ (ทั้งๆ ที่เขามายืนร้องเพลงวันเกิดให้เรา?) ใช่ค่ะ เราร้องหลังจากที่เขาร้องเพลง คือได้นั่งคุยกันแป๊บหนึ่ง แล้วหนูพูดดีกว่า คือมันเห็นมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เรารู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำอะไรกันสักอย่าง มันน่าจะดีฟไปมากกว่านี้ น่าจะไม่ไหว”
อาการหรือพฤติกรรมอะไร ที่ทำให้เราถึงขั้นร้องไห้เลย ?
“คือมันไม่ได้มีพฤติกรรมอะไร เราแค่เป็นห่วง คือเรารู้ว่าเวลาทำงานแสดง มันมีหลายวิธีที่จะใช้ ถามว่าถ้ามันจะทำให้งานออกมาดีที่สุด หนูเชื่อว่านักแสดงหลายคนก็พร้อมจะทำ แต่มันดันเป็นบทที่ข้างในมันน่ากลัว ถ้าบรีฟหรือลงไปลึกกว่านั้น แล้วอยู่กับความรู้สึกนั้นตลอดเวลา มันต้องรู้วิธีที่จะเอาออกได้อย่างคลีนด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยาก เพราะมันคือเรื่องของข้างใน ตอนนี้ดีแล้ว คือเรื่องมันเกิดขึ้นตอนต้นปี ตอนวันเกิดหนูเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ปกติแล้วค่ะ”
แสดงคอนเสิร์ตเดี๋ยวนี้โตโน่มีกระโดดด้วย ?
“คือมันไม่ใช่เดี๋ยวนี้ หนูแปลกใจมาก ยังคุยกันที่บ้านอยู่เลย ว่าทำไมมันเป็นกระแสขึ้นมา เพราะเขาทำอย่างนี้มาเป็น 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะเจอหนูด้วย ตั้งแต่หนูเล่นละครกับพี่เขา ก็ล้อกันเองนานมากแล้ว เรื่องท่าสตาร์ทมอเตอร์ไซค์อะ จนวันที่เป็นกระแสหนูแบบ ทำไมอยู่ดีๆ มาเป็นกระแสได้ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนดูเอ็นเตอร์เทน ก็ตลกดี
“เขาก็ก็เขินนะ(หัวเราะ) หนูเคยพูดกับเขาเหมือนกัน ว่าปวดเข่าไหม แต่คือหนูพูดไปเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่แค่ปีสองปีนี้มันเพิ่งมาเป็นกระแสได้ไงไม่รู้เหมือนกัน ไอ้โดดโน่น ทำนี่ คือเป็นมานานมากแล้ว ตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ หนูถามว่าปวดคอไหม คือโยกหัวก็โยกแรงมาก มันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แต่สำหรับตัวหนู หนูก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าทำไมมาเป็นกระแสในตอนนี้ อาจจะเพราะกระแสว่ายน้ำ แต่ก็ตลกดี”
เขามีคอนเสิร์ตเยอะขึ้นกว่าเดิมไหม ?
“งานเยอะมาก(หัวเราะ) งานคอนเสิร์ตเยอะมาก เวลาไปเตะบอลใครเจอเขาก็จะแบบ ทำท่าสตาร์ทมอไซค์ให้ดูหน่อย (หัวเราะ) คือถ้าคนได้เคยเห็นคลิปเขา เขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ถ้าดูเขาตั้งแต่เดอะสตาร์ เขาเป็นตั้งแต่ประกวดอะ”
แต่เรื่องการกระโดดบนเวที กระโดดลงสระ เรามีพูดไหมว่าหนักไปหรือเปล่า ?
“อันนี้ก็พูดค่ะ คือเต็มที่ได้ แต่ต้องเซฟตัวเอง หนูเป็นห่วงเหมือนเดิม คือรู้แหละว่าเขากระโดดบ่อย กระโดดให้คนบ้าง กระโดดลงเวทีไปเล่นไปทำอะไรบ้าง คือเขาทำอย่างนั้นตลอดอยู่แล้ว แต่ว่าก็บอกเขาว่าอันไหนที่มันอันตรายเกินไปอะ ให้เซฟตัวเองอีกนิดนึงได้มั้ย เพราะว่าอายุก็เยอะขึ้นทุกวัน(หัวเราะ)”
“ต้องดูแลตัวเองเยอะขึ้นนิดนึง เขาก็โอเค เขาจะพยายาม หนูว่ามันเอเนอร์จี้ของนักร้องค่ะ ที่เราไม่สามารถไปบอกได้ ว่าอยู่บนเวทีแล้วอยู่นิ่งๆ เถอะนะ คือแต่ละคนมีสไตล์การเพอร์ฟอร์แมนซ์ไม่เหมือนกัน ไม่สามารถไปบอกได้ว่าใครควรจะเป็นแบบไหน แต่อะไรที่มันจะอันตรายหรือว่าไม่เซฟ อันนี้ก็ขอให้เบรกแป๊ปหนึ่งก่อนทำ แต่ถ้าอันนี้ไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่ได้อันตรายกับตัวเองก็ทำไปเลย”
แต่เขารับปากเราแล้วใช่ไหม ?
“เขาโอเค เขารู้ว่าแม่ก็เป็นห่วงค่ะ ถามว่าเจ็บมั้ย ทุกคนก็ถามเหมือนกันว่าเจ็บมั้ย(หัวเราะ) (มีชวนเราเต้นท่ามอเตอร์ไซค์บ้างไหม?) ไม่ คือถึงบอกว่ามันเป็นความสามารถพิเศษของนักร้อง ที่อยู่ข้างล่างเขาไม่เป็นแบบนั้น แต่อยู่บนเวทีเพอร์ฟอร์แมนซ์เขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะพี่โน่ในชีวิตประจำวันเขาไม่เต้นไม่อะไรเลยนะ แค่ให้ร้องเพลงให้ฟังก็เขิน แต่พอขึ้นเวทีมันเหมือนเป็นที่ของเขามั้งคะ มันเลยเต็มที่ แล้วมันมันอะค่ะ”
แสดงว่าโตโน่พาร์ทที่อยู่กับเรา กับอยู่บนเวทีไม่ใช่คนเดียวกัน ?
“หนูว่าก็ไม่เหมือน เวลาทำงานแสดง พี่โน่ก็จะเป็นอีกแบบนึง แต่ถามว่าเต็มที่สุดมั้ย อันนั้นก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ จริงๆ คือเวลาเขาเล่นบู๊ เขาจะเล่นเองหมด เขาเป็นคนเต็มที่มาก อันนั้นก็เป็นห่วงในอีกทางหนึ่ง แต่หนูก็เข้าใจได้อีก เพราะมันคือการทำงาน เขาก็รู้ว่าอะไรเซฟไม่เซฟสำหรับเขาแหละ”
เวลาอยู่กับเราเป็นหนุ่มขี้อาย ?
“ก็ขี้อายกับทุกคนอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนะ ในบางเรื่องถ้าจะให้อยู่ดีๆ มาเต้น เขาก็ไม่ทำ(หัวเราะ) แล้วแต่เรื่องค่ะ เรื่องความกวนเขาก็ยังกวนเป็นเรื่องปกตินะ หนูเห็นเวลาเขาไปออกรายการสัมภาษณ์ เขาก็กวนเป็นปกติอยู่นะ แต่ในตอนนี้ที่หนูมาเจอพี่เขา เขาก็เป็นคนนิ่งอยู่แล้วค่ะ เวลาเขาสัมภาษณ์เขาเป็นคนนิ่งมาก แล้วเวลาพูดอะไรเขาจะคิด คิดถี่ถ้วนจนหนูกลายเป็นคนพูดไม่คิดไปเลยในบางที อย่างเขากับที่บ้านเอง กับแม่ กับคนรอบตัว กับวงเขา เวลาจะทำงานหรือคุยงานอะไร เขาจะคิดเยอะมากก่อนที่จะพูดออกไป
“เขารู้สึกว่าเวลาพูดไปแล้วมันเอาคืนไม่ได้ บางทีหนูคุยด้วยจริงจัง หนูก็ต้องลุ้นว่าเขาจะตอบอะไร (หัวเราะ) ซึ่งดีนะคะ มันทำให้หนูปรับตัว หนูรู้สึกว่าคิด ดีกว่าไม่คิดเลย หนูก็คิดมากขึ้นไปด้วย เวลาจะพูดอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น เพราะเมื่อก่อนคิดปุ๊บพูดเลย พูดจนแม่บอกว่าใจเย็นๆ เมื่อก่อนแม่ก็คือจะแบบว่าหยุดก่อน บางอย่างไม่ต้องทันทีก็ได้ ซึ่งหนูก็ดีขึ้นเรื่องนี้”